ถ้าคุณชื่นชอบ หลงรักในประเทศญี่ปุ่นแล้ว มีโอกาสที่คุณจะหลงรัก และสื่อสารเป็นภาษาญี่ปุ่นได้อย่างคล่องแคล่วอีกเช่นกัน ลองนึกถึงเพื่อนที่เราจะได้ทำความรู้จักสิ ทั้งอนิเมะ มังงะ และวิดิโอเกม คุณจะสนุกกับสิ่งเหล่านี้ได้อย่างเต็มอรรถรส ตามที่ผู้สร้างตั้งใจไว้ให้เป็นอย่างนั้น
แต่หนทางในการชำนาญภาษาญี่ปุ่นนั้นช่างยาวไกล ยากลำบาก และเต็มไปด้วยหลุมพราง ภาษาญี่ปุ่นจัดอยู่ในภาษาประเภทที่ 5 ซึ่งหมายความว่าต้องใช้เวลาอย่างน้อย 88 สัปดาห์ หรือ 2,200 ชั่วโมงในการเรียนให้เข้าใจได้ในระดับหนึ่ง สำหรับชาวต่างชาติที่พูดอังกฤษ เมื่อมาเทียบกันแล้ว ภาษาฝรั่งเศส ซึ่งถูกจัดให้อยู่ในภาษาประเภทที่ 1 ยังใช้เวลาแค่ 24 สัปดาห์ หรือ 600 ชั่วโมงในการเรียนให้เข้าใจในระดับหนึ่งเท่านั้น ภาษาญี่ปุ่นมีตัวอักษรแยกออกมาอีก 2 ตัวอักษร พร้อมกันกับตัวอักษรโจยุคันจิทั้งหมด 1,945 ตัว (ที่ใช้กันเป็นประจำ) หรือตัวกอักษรภาษาจีน ส่วนมากมักจะมีการออกเสียงที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละตัวอีกด้วย สรุปสั้นๆ การเรียนภาษาญี่ปุ่นถือเป็นเรื่องที่น่าหวาดหวั่นกับผู้ที่พูดภาษาอังกฤษเป็นหลักอยู่พอสมควร
แต่ไม่ใช่ว่ามันมีอะไรให้ต้องเรียนเยอะแยะมากมายไปหมด ก็เลยพลอยให้คุณไม่อยากลองศึกษาพวกมันซะงั้นนะ มันยังคุ้มค่าที่จะลองเรียนดู แม้ว่าคุณจะไม่มีพรสวรรค์ในเรื่องภาษาเลย ไม่ได้โตมากับสภาพแวดล้อมที่อยู่ท่ามกลางเจ้าของภาษานั้นๆ หรือคุณไม่ได้ลงเรียนวิชาภาษาญี่ปุ่นก็ตามเถอะ! ใครๆก็สามารถเรียนอ่านและเขียนภาษาญี่ปุ่นได้ทั้งนั้นแหละ ถ้าคุณทุ่มเทให้กับมัน
ไหนๆคุณก็มาอยู่ ณ เว็บไซต์สอนภาษญี่ปุ่นของ RocketNews24 แล้วเนี่ย เราก็อยากจะเผยเคล็ดลับสักเล็กน้อยให้กับผู้ที่มองหาแรงส่งในการเรียนภาษาญี่ปุ่นกันอยู่ เอาล่ะ มาเริ่มกันเลยเถอะ!!! (ข้อควรจำ: เคล็ดลับต่อไปนี้เป็นเพียงเคล็ดลับสำหรับผู้ที่เพิ่งจะเริ่มต้นเรียน เพื่อช่วยพวกเขาเรียนภาษาญี่ปุ่นได้ง่ายขึ้นมาบ้าง ถ้าคุณมองหาการเรียนการสอนที่ตอบโจทย์คุณมากกว่านี้ โพสต์นี้ก็มีให้คุณหมดละ)
เคล็ดลับที่ 1 – ดื่มด่ำกับมัน
ถ้าคุณอยากเรียนภาษาญี่ปุ่นอย่างจริงจังแล้วล่ะก็ คุณต้องสละเวลาให้กับมันหลายชั่วโมงด้วยกัน แต่การเปิดหนังสืออ่านไปมาแค่นั้น ไม่ได้ช่วยให้คุณพูดได้คล่องปรื๋อเลยหรอกนะ หรือฟังคนญี่ปุ่นพูดได้ออกทุกคำภายในเวลาไม่กี่อึดใจ แต่มันก็เป็นไปได้นะสำหรับผู้ที่สอบผ่านระดับสูงสุดของ JLPT (การสอบวัดระดับความรู้ภาษาญี่ปุ่น) โดยที่พูดไม่ได้สักคำเดียวก็มี ถึงแม้มันจะช่วยบ้างก็เถอะ แต่การสอบผ่านระดับสูงๆก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะพูดได้อย่างเจ้าของภาษาเสียทีเดียว
ในชีวิตจริง การใช้ภาษาอย่างคล่องแคล่วนั้นต้องมาจากการนำไปฝึกใช้จริง ซึ่งมันก็ต้องการความทุ่มเท จมอยู่กับมันอย่างมาก แต่โชคดี ที่ตอนนี้มีหลากหลายช่องทางในการเอาตัวคุณเองเข้าไปอยู่กับภาษาญี่ปุ่นมากขึ้น ไม่ว่าคุณจะอาศัยอยู่ที่ใดก็ตาม (ตราบเท่าที่มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ซึ่งมันก็ครอบคลุมทุกอย่างในชีวิตประจำวันของทุกคนอยู่แล้ว) ชอบเล่นเกมมั้ย? เยี่ยม! ก็เล่นเกมภาษาญี่ปุ่นไปเลย ชอบดูอนิเมะมั้ย? เลิกดูพากย์อังกฤษซะ แล้วเปิดเสียงญี่ปุ่น บรรยายอังกฤษใต้ภาพแทน ชอบอ่านมังงะมั้ย? ลองหาภาษาญี่ปุ่นมาลองอ่านดู อยากได้เพลงประกอบสักเพลงมั้ย? เพลงแนว เจ-ป๊อปล่ะเป็นไง? การนำองค์ประกอบต่างๆที่เกี่ยวกับภาษาญี่ปุ่นเข้ามาในชีวิตประจำวันของคุณ จะช่วยให้คุณอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ให้คุณจมเข้าไปกับภาษาญี่ปุ่นได้ทุกที่ ทุกเวลา แถมยังได้ความสนุกเป็นผลพลอยได้อีกด้วยนะ
เคล็ดลับที่ 2 – จัดโครงสร้างการศึกษาของคุณ
ผู้คนที่เรียนภาษาญี่ปุ่นด้วยตนเองมีอยู่ทั่วไป แต่บางครั้ง การศึกษาด้วยตนเองอาจก่อให้เกิดพฤติกรรมการเรียนที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ขึ้นได้ การอ่านมังงะและดูอนิเมะมากๆบ่อยๆ ก็ช่วยให้คุณฟังออกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถ้าคุณเป็นผู้ฟังอย่างเดียวล่ะก็นะ แต่เอาเข้าจริงแล้ว ไม่มีอะไรมาทดแทนการเรียนแบบโครงสร้างภาษาจริงๆได้หรอก สิ่งที่ดีที่สุดในการเรียนภาษาญี่ปุ่น ก็คือไปเรียนในมหาวิทยาลัย หรือโรงเรียนสอนภาษาที่ดีๆหน่อย แต่ถ้าคุณไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว ลองดูหลักสูตรการเรียนการสอนแบบสั้นหรือไม่ก็มองหาติวเตอร์ และถ้ายังไม่มีทางเลือกอีก หรือไม่สะดวกลงเรียนภาษาญี่ปุ่นที่ไหนๆเลย ลองหาหนังสือมานั่งอ่าน นั่งเรียนด้วยตนเอง ฝึกฝนไปเรื่อยๆผ่านหนังสือเตรียมสอบ JLPT ก็ถือเป็นวิธีที่ดีเยี่ยมในการเรียนในสิ่งที่คุณควรรู้ อันที่จริง การเตรียมและการไปสอบ JLPT ในแต่ละระดับถือเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมสำหรับนักเรียนที่เรียนรู้ด้วยตนเองเพื่อเพิ่มระดับความสามารถ และไปให้ถึงเป้าหมายการศึกษาที่ตนได้วางไว้
เอาข้อ 1 กับข้อ 2 มารวมกัน น่าจะสร้างพื้นฐานในการเรียนภาษาญี่ปุ่นให้ดีขึ้น การเรียนแต่ในหนังสืออย่างเดียวจะทำให้คุณไปได้ไกล แต่ไม่มีโอกาสเอามาใช้ในชีวิตจริง ในขณะที่การนำภาษาญี่ปุ่นเข้ามาในชีวิตประจำวันเพียงอย่างเดียวก็ไม่ได้ทำให้พื้นฐานของคุณแน่นแต่อย่างใด
เคล็ดลับที่ 3 – เพิ่มคลังคำศัพท์โดยใช้วิธีทางธรรมชาติ
แทนที่จะเอาแต่ท่องจำศัพท์แห้งแล้งๆ มีทริคอยู่ก็คือให้คุณซื้อสมุดโน้ตเกๆมาหนึ่งเล่ม และจดคำศัพท์ญี่ปุ่นใหม่ๆลงไปทุกครั้งที่คุณพบเจอระหว่างที่คุณทำตามเคล็ดลับข้อที่ 1 ของเรา ทำแบบนี้จะช่วยให้สมองเราสามารถเชื่อมโยงคำศัพท์ เข้ากับสถานการณ์ที่เหมาะกับคำศัพท์นั้นๆได้อย่างเหมาะสม ฉันเริ่มเรียนภาษาญี่ปุ่นเมื่อประมาณเก้าปีก่อนโดยใช้วิธีข้างต้นนี้ สมุดโน้ตฉันเต็มไปด้วยคำศัพท์นับไม่ถ้วนเลยทีเดียว และฉันยังใช้วิธีนี้มาจนถึงปัจจุบันอีกด้วย
เคล็ดลับที่ 4 – เรียนรู้รูปแบบของมัน
มีสิ่งหนึ่งที่คุณอาจไม่ทันสังเกตในช่วงเริ่มต้นการเรียนของคุณว่า ภาษาญี่ปุ่นจะดำเนินตามรูปแบบประโยคหลากหลายแบบด้วยกัน เช่นเดียวกับประโยคที่จะใช้ได้ ต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์อย่างประโยค “อิทาดาคิมัส” “โอสซุการเระซามะ” และอื่นๆอีกมากมาย ที่มันไม่มีให้เห็นในภาษาอังกฤษ คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะพูด สื่อสารสิ่งต่างๆออกมาในรูปแบบที่ภาษาอังกฤษไม่มี หลุมกับดักอันใหญ่โตที่เรา ชาวต่างชาติที่เรียนภาษาญี่ปุ่นจะต้องเผชิญนั่นก็คือ การจำคำศัพท์ทั้งหมดให้ได้ เพื่อนำไปใช้สื่อสารกับคนญี่ปุ่น ในแบบที่สื่อสารกับคนอังกฤษ ในความเป็นจริงแล้ว ภาษาญี่ปุ่นกับภาษาอังกฤษนั้นแตกต่างกันมาก และการสลับตำแหน่งคำในประโยคเพียงนิดเดียว ก็จะทำให้การสนทนาของคุณเหมือนเอาประโยคนั้นไปวางแล้วให้กูเกิ้ล ทรานสเลทแปลออกมายังไงยังงั้น การจำรูปแบบประโยคที่มากมายมหาศาล พร้อมทั้งต้องปรับเปลี่ยนให้เข้ากับบทสนทนาที่คุณกำลังพูดกันอยู่นั้น จะช่วยให้ภาษาญี่ปุ่นของคุณก้าวหน้าไปไกลกว่าการที่นำแต่ละคำมาแปลงเป็นภาษาอังกฤษ แล้วค่อยพูดออกมาเป็นภาษาญี่ปุ่นอีกที
เคล็ดลับที่ 5 – ทำพลาดเข้าไว้
ความสมบูรณ์แบบ คือศัตรูของความดี และการกลัวที่จะทำผิดพลาดเมื่อพูดถึงการเรียนภาษาอาจเป็นอุปสรรคต่อการก้าวหน้าของคุณเอง สมองของเรามักจะจดจำเรื่องร้ายๆได้ชัดเจนแจ่มแจ้งกว่าเรื่องดีๆ (เฮ้อออ) ฉะนั้น การทำให้ตัวเองอับอายระหว่างบทสนทนากับคนญี่ปุ่นจึงเป็นวิธ๊ที่ยอดเยี่ยม เพื่อให้แน่ใจว่าคุณจะไม่ทำอย่างนั้นอีกเป็นครั้งที่สอง และถ้าคุณไม่เคยทำผิดพลาดแม้แต่ครั้งเดียว นั่นหมายความว่า คุณยังรู้ไม่มากพอ ผู้คนที่เริ่มพูดคุยต่อหน้า ต่อตากับชาวญี่ปุ่นในครั้งแรกนั้นล้วนพูดผิดกันเป็นแถว แต่พวกเขาก็พยายามสุดความสามารถเพื่อให้เขาสามารถพูดได้ดีขึ้นในอนาคต การคิดเช่นนี้ช่วยให้พวกเขาพูดได้ดีขึ้นจริง ดีขึ้นกว่าผู้เอาแต่อ่านตำรา และลังเลที่จะพูดอะไรออกไปที่ไม่มีในหนังสือ
เคล็ดลับที่ 6 – นอบน้อมเข้าไว้
ภาษาญี่ปุ่นนั้นช่างเป็นภาษาที่สวยงาม เต็มไปด้วยประโยคที่พลิกแพลงและตัวอักษรที่เขียนกันได้ลายมือไก่เขี่ย สิ่งเหล่านี้มันมี “ความเจ๋ง” ในตัวของมันที่จะทำให้คนที่อ่านออก เขียนได้นั้นไปโม้ให้คนอื่นฟังได้ว่า ฉันอ่านญี่ปุ่นออกนะ ฉันเขียนตัวอักษรญี่ปุ่นได้นะ แต่การถ่อมตนถือเป็นเรื่องสำคัญในการเรียนภาษาใดก็ตาม แต่การคิดแค่ว่า เรียนแค่พออ่านออก เขียนได้ก็พอแล้ว แล้วก็ไม่ได้ศึกษามันต่ออีกเลย แน่นอน! คุณสามารถทำงั้นได้ มันเป็นทางเลือกที่คุณเลือกเองได้ว่าจะเรียนภาษาญี่ปุ่นไปถึงไหน อีกทั้งผู้คนต่างก็มีเป้าหมายในการเรียนภาษาอื่นที่แตกต่างกันออกไปอยู่แล้วด้วย คนส่วนใหญ่ที่ลงเรียนภาษาญี่ปุ่นเป็นภาษาที่สองที่โรงเรียน ในหมู่คนเหล่านี้ จะต้องมีอย่างน้อยสักคนหนึ่งที่พยายามจะบ่อนทำลายความเชื่อมั่นของผู้อื่นโดยการพูดจาเย้ยหยันใส่อย่างแน่นอน ทางที่ดีที่สุดคือยึดอยู่กับความสามารถของตน และอย่าไปใส่ใจการกระทำของคนรอบข้างคุณ เรียนกับเพื่อนๆไปด้วยกัน ทำผิดพลาดไปด้วยกัน เพิ่มพูนความรู้ให้มากๆและเปิดกว้างต่อคำวิจารณ์ต่างๆที่คุณต้องพบเจอ