บริษัทญี่ปุ่นอาจต้องขึ้นค่าแรงขั้นต่ำให้แก่พนักงานทุกคน

อาจมีพลังงานบางอย่างที่กำลังคุกรุ่นได้ที่ภายในตลาดแรงงานของญี่ปุ่น การที่จำนวนประชากรในญี่ปุ่นลดลงและอัตราการเพิ่มขึ้นของกลุ่มผู้สูงอายุอาจเป็นผลทำให้เกิดภาวะเงินฝืด ซึ่งทำให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นอยู่ในภาวะชะลอตัว อย่างไรก็ตาม หลังจากต่อต้านการขึ้นค่าแรงมาเป็นเวลาหลายปี บริษัทในญี่ปุ่นอาจต้องมานั่งทบทวนถึงความจำเป็นในการรักษาพนักงานให้ยังอยู่ต่อ ก่อนที่พวกเขาจะลาออกกันไปเสียหมด ณ ขณะนี้ ธนาคารทางการเงินของญี่ปุ่นได้กล่าวถึงสถานการณ์นี้โดยยกคำพูดของออร์เวลมาเปรียบเปรยเลยว่า “จงรักษากำลังแรงงานไว้”

อัตราการว่างงานในญี่ปุ่นอยู่ที่ 2.8% และลดลงอย่างต่อเนื่องขณะที่ญี่ปุ่นต้องเผชิญกับการเจริญเติบโตของโลก ในช่วงเวลานี้ คนรุ่นเบบี้บูมเมอร์ หรือคนที่เกิดในช่วง พ.ศ. 2489-2507 ก็ทยอยกันเกษียณอายุหมด ขณะที่ประเทศก็ยังต่อต้านการอพยพย้ายถิ่นจำนวนมากๆอยู่ การไหลบ่าเข้ามาของประชากรหญิงและผู้สูงอายุจะต้องได้รับการชดเชย และรับเงินเยียวยาบ้าง แต่กลุ่มคนทำงานในญี่ปุ่นกลับร่อยหรอจนแทบจะหมดสิ้น

ปัญหาของสถิติจำนวนประชากรในญี่ปุ่นนั้นไม่ใช่เรื่องใหม่อะไร ถึงแม้จะมีอัตราการว่างงานที่ต่ำก็ตาม แต่อัตราการเพิ่มขึ้นของค่าแรงยังคงซบเซา คงที่อยู่เพียงร้อยละ 0.6 เท่านั้น ปัญหานี้ทำให้ความพยายามของธนาคารกลางญี่ปุ่นที่จะขยายค่าเงินขึ้นเป็นร้อยละ 2 เป็นอันต้องหยุดชะงักลง

กระนั้น พาดหัวก็ยังปิดบังเรื่องของการขับเคลื่อนวงการแรงงานอยู่ พวกเขาได้รับอิทธิพลมาจากบริษัทใหญ่ ในขณะที่สหภาพมีแนวโน้มที่จะสร้างความสัมพันธ์อย่างอบอุ่นกับผู้บริหารและยอมรับการเพิ่มขึ้นของค่าเงินเพียงเล็กน้อย แม้ว่าบริษัทจะสามารถทำกำไรได้มหาศาลก็ตาม ในทางกลับกัน พนักงานนอกเวลากลับได้รับค่าแรงเพิ่มขึ้นอีกประมาณร้อยละ 2.5 ถึง 3 ขณะที่ฐานเงินเดือนของพวกเขายังคงต่ำอยู่

นำไปสู่คำถามที่ว่า เมื่อไรกันที่ภาวะขาดแรงงานจึงกลายเป็นเรื่องที่รุนแรงถึงขนาดมีการแย่งชิงกันในหมู่นายจ้าง และยอมเพิ่มเดิมพันความเสี่ยงที่จะสูญเสียพนักงาน?

อิซุมิ เดวาเลียร์ หัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจญี่ปุ่นประจำธนาคาร อเมริกา-เมอร์ริล ลินช์ กล่าวว่าเราได้มาถึงจุดๆนั้นแล้ว “เรามักเจอเหตุการณ์ที่เรามีความหวังว่าจะมีอะไรใหม่ๆเกิดขึ้น แต่สุดท้ายไม่เป็นเช่นนั้นมามากมายหลายครั้ง ดังนั้น กรณีนี้อาจจะยากสักหน่อย” เธอรับรู้ได้ แต่ด้วยการใช้วิธีพูดคุยกันอย่างเปิดเผย เธอก็สังเกตเห็นได้ว่า ตามกิจการที่เป็นนิยมๆอย่างโรงแรมห้าดาว หรือภัตตาคารหรูก็เริ่มที่จะหลุดจากสภาพการณ์นี้ไปอย่างช้าๆ เนื่องมาจากปัญหาการขาดแคลนแรงงาน “ทุกคนเริ่มตระหนักแล้วว่าถ้าพวกเขาไม่รักษาคนที่เก่งๆเอาไว้ ปัญหานี้จะถาโถมเข้ามาหาพวกเขาหนักขึ้นเรื่อยๆ”

สำหรับผู้ที่อยู่ในวงการธุรกิจ ความจำเป็นในการรักษาพนักงานจะเป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญเป็นอย่างแรก บริษัท ยามาโตะ โฮลดิ้ง จำกัด, บริษัทรับส่งห่อพัสดุที่มีโลโก้เป็นลูกแมวที่กระจายอยู่ทั่วกรุงโตเกียว ก็เริ่มสอนงานให้เจ้าอื่นดูแล้ว การที่ต้องเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนพนักงานขับรถและความพยายามของคู่แข่งในการแย่งชิงพนักงานขับรถกันแล้วนั้น ทำให้บริษัทตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยพื้นฐานสำหรับลูกค้าในเดือนเมษายน

ใช้เวลาร่วมทศวรรษ แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว ท่ามกลางการแข่งขันกันอย่างดุเดือด ทำให้บริษัท ยามาโตะขนส่งกลัวที่จะขึ้นราคา แต่พวกพนักงานที่ทำงานล่วงเวลา กับพนักงานที่ถูกงดจ่ายค่าแรงกลับมีข้อเสนอที่ดีกว่า เมื่อเป็นแบบนี้ บริษัทจึงจ่ายค่าชดเชยให้แก่พนักงานที่ทำงานล่วงเวลาทั้งหมด 47,000 คน

นี่อาจเทียบได้กับเหตุการณ์ พลาซ่า แอคคอร์ด 1985 ที่ญี่ปุ่น และเยอรมันตะวันตก ตกลงให้ญี่ปุ่นต้องแข็งค่าเงินจากอัตราแลกเปลี่ยน 250 เยน ต่อ 1 USD ให้แข็งขึ้นเป็น 150 เยน ต่อ 1 USD เหนือสิ่งอื่นใด เหตุการณ์นี้ทำให้บริษัทญี่ปุ่นขยายตัวไปต่างประเทศมากขึ้น แต่ ณ ตอนนี้ บริษัทจำเป็นต้องตัดสินใจอย่างเท่าเทียมกันในเรื่องว่าจะทำอย่างไรกับสภาพคล่องของแรงงานที่หดตัวลงแบบนี้

ขณะที่ประชากรศาสตร์กำลังผลักดันตลาดแรงงานให้เคลื่อนที่อยู่ตลอดเวลา ทางภาครัฐบาลเองก็ยังมีบทบาทสำคัญที่ต้องรับอยู่ ปีที่แล้ว นายกรัฐมนตรี ชินโสะ อาเบะ ได้เผยแผนการปฏิรูปสถานที่ประกอบการที่มุ่งลดช่องว่างในเรื่องของรายได้ที่ได้รับระหว่างพนักงานพาร์ทไทม์ กับพนักงานประจำ นอกจากนี้คุณอาเบะยังต้องการที่จะสร้างกฎข้อบังคับที่รัดกุมให้กับเรื่องของเวลาในการทำงานของพนักงานประจำอีกด้วย ซึ่งเป็นหนึ่งในวิธีที่ทางบริษัทจะได้รับพนักงานใหม่เข้ามาทำงานได้ ซึ่งแผนฏิรูปนี้ยังคงรอการอนุมัติตามกฎหมายอยู่

ท้ายที่สุดแล้ว บทบาทที่สำคัญจริงๆในเรื่องนี้คงอยู่ที่ ธนาคารการเงินของญี่ปุ่น ด้วยวิธีเดินหน้านโยบายแบบพิเศษ ทำให้ผู้ว่าการธนาคารกลาง ฮารุฮิโกะ คุโรดะ สามารถต่อลมหายใจให้เศรษฐกิจเดินหน้าไปได้อีกพักใหญ่ เร่งให้เติบโตขึ้นและทำให้อัตราการว่างงานลดลง วิธีการนี้จะทำให้เข้าใกล้เป้าหมายที่ธนาคารการเงินของญี่ปุ่นวางไว้ที่ร้อยละ 2 มีหนทางมากขึ้น มันอาจมีประโยชน์เพิ่มเติมในเรื่องของการบีบให้นายจ้างต้องเผชิญกับความเป็นจริงทางด้านประชากรศาสตร์มากขึ้นด้วย

ข้อแนะนำเบื้องต้นเกี่ยวกับภาษาญี่ปุ่นอย่างกระชับ

1.ทำไม่เราต้องเรียนภาษาญี่ปุ่น
บ้างอาจจะเรียนไปเพื่ออยากหาแฟนชาวญี่ปุ่น บ้างก็อยากจะเพิ่มรายได้ให้แก่ตนเองโดยเอาไปสมัครเข้าทำงานในบริษัทญี่ปุ่น อย่างไรก็ตาม ฉันคิดว่าเหตุผลหลักของการอยากเรียนภาษาญี่ปุ่นนั้น คือประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศที่สวยงาม มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ดูดี แต่ชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่นั้นไม่พูดภาษาอังกฤษ กำแพงทางด้านภาษานี่แหละที่ขวางกั้นไม่ให้สิ่งต่างๆจากญี่ปุ่นหลายสิ่งเข้ามาสัมผัสกับโลกภายนอกที่พูดภาษาอังกฤษเป็นหลัก ชาวญี่ปุ่นมักเป็นเลิศด้านการเขียนนวนิยาย การประดิษฐ์ การพัฒนาเกมและการเขียนเพลง แต่ผลงานของพวกเขานั้น น้อยนักที่จะนำมาแปลเป็นภาษาสากลอย่างภาษาอังกฤษ ยกเว้นเรื่องที่โด่งดังมากๆเช่น ดราก้อนบอล และ ไฟนอลแฟนตาซี พวกเรากำลังพลาดสิ่งดีๆมีคุณค่าหลายอย่างจากประเทศญี่ปุ่นเพียงเพราะว่าไม่เข้าใจภาษาของพวกเขา
หลังจากที่คุณชำนาญภาษญี่ปุ่นแล้วนั้น คุณจะรู้สึกเหมือนมีชีวิตที่สองเพิ่มขึ้น โลกใบใหม่ได้เปิดรอคุณแล้ว และคุณก็ยังจะมีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูล สารสนเทศที่จำกัดไว้เฉพาะคนญี่ปุ่นเท่านั้นได้ มีโอกาสมากมายให้คุณได้มองหาและนำมาใช้ แต่กุญแจสำคัญเลย คือคุณต้องพูดภาษาญี่ปุ่นให้ได้
คิดซะว่าภาษาญี่ปุ่นเหมือนกับพลั่ว เมื่อคุณมีพลั่วอยู่ในมือ คุณก็จะสามารถขุดให้ลึกลงไปสู่แหล่งทรัพยากรที่มีค่ามากที่สุดในโลกได้อย่างสบายๆ

งานญี่ปุ่นหลายแห่งในประเทศไทย
หางานภาษาญี่ปุ่น | CareerLink.co.th

2.เอาล่ะ คำถามสำคัญ: ภาษาญี่ปุ่นยากมั้ย?
ไม่มีภาษาไหนบนโลกที่ยากขนาดเด็กห้าขวบพูดไม่ได้ และไม่มีภาษาไหนบนโลกที่ง่ายขนาดชายแก่วัยห้าสิบ สามารถชำนาญได้ภายในเวลาไม่กี่อึดใจ ในฐานะผู้ที่สำเร็จการเรียนทั้งภาษาญี่ปุ่นและภาอังกฤษนั้น (ฉันเป็นคนจีน) ฉันคิดว่า ภาษาญี่ปุ่นไม่ง่าย แต่ก็ไม่ได้ยากอย่างที่คนทั่วไปเขาพูดกัน เหตุผลหลักที่ผู้คนคิดว่าภาษาญี่ปุ่นนั้นยาก เป็นเพราะหลักการเขียนภาษาญี่ปุ่นนั้นจะมีอักษรคันจิและอักษรสองแบบ เรียกว่า ฮิรางานะ และ คาตาคานะ ขณะที่ฉันเห็นด้วยว่าคันจินั้นยากที่จะชำนาญ แต่ฉันก็คิดว่า ฮิรางานะ และคาตาคานะก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ฉันได้ลงรายละเอียดบทเรียนเรื่องฮิรางานะและคาตาคานะไว้ในเวบไซต์นี้แล้ว รวมถึงการอ่านออกเสียง การสาธิตและบทช่วยจำ ออกแบบมาเพื่อคนที่พูดภาษาอังกฤษโดยเฉพาะ ซึ่งฉันหวังว่ามันอาจจะช่วยให้คุณเรียนภาษาญี่ปุ่นได้ง่ายขึ้นและสนุกกับมันมากขึ้น
อีกทั้ง ฮิรางานะ และ คาตาคานะ เป็นสัญลักษณ์การออกเสียงในภาษาญี่ปุ่น ในอีกทางหนึ่ง คุณไม่จำเป็นต้องมานั่งจำวิธีสะกดคำในภาษาญี่ปุ่น เพราะว่าการออกเสียงคำญี่ปุ่นนั้นจะเชื่อมโยงกันกับการสะกดคำ ซึ่งเป็นลักษณะที่ง่ายต่อการเรียนภาษานี้อย่างหนึ่ง ในขณะที่คันจินั้นเขียนยากมาก ภาษาญี่ปุ่นก็เป็นภาษาที่พอจะหยวนๆกันได้ กล่าวคือตัวคันจิ หรือสำนวนคันจิทุกสำนวน ทุกคำ สามารถเขียนเป็นฮิรางานะ หรือคาตาคานะได้ หากคุณลืมไปแล้วว่าตัวคันจิตัวนี้มันเขียนอย่างไร ก็ให้เขียนเป็นฮิรางานะหรือคาตาคานะแทน ภารกิจหลักเกี่ยวกับตัวคันจิของคุณก็คือ คุณต้องจำตัวคันจิให้ได้มากที่สุด ไม่งั้นการเขียนอาจจะล่าช้าได้ ฉันได้ทำบทเรียนเพิ่มเติมเพื่อสอนให้คุณรู้จักตัวคันจิแบบพื้นฐานที่ใช้กันมากที่สุดขึ้นมา รวมถึงชุดสาธิตการอ่านออกเสียงอย่างเต็มรูปแบบ และโน้ตช่วยจำด้วย

3. บอกฉันเพิ่มเติมเกี่ยวกับหลักการเขียนภาษาญี่ปุ่นหน่อยสิ
ตามประวัติศาสตร์แล้ว ภาษาญี่ปุ่นไม่ปรากฏหลักการเขียนที่ชัดเจน มันเป็นแค่ภาษาพูดเท่านั้น คันจิ (อักษรในภาษาจีน) ก็ถูกนำมาใช้ในภาษาญี่ปุ่นตั้งแต่ตอนนั้น ชาวญี่ปุ่นในช่วงนั้นก็เรียนคันจิและใช้ประโยคแบบภาษาจีน ไวยากรณ์จีนมาสักพักหนึ่ง พูดง่ายๆ คือ พวกเขาเขียนภาษาจีน แต่เนื่องจากทั้งสองภาษานี้มีหลักไวยากรณ์ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เลยไม่เป็นที่สะดวกแก่ชาวญี่ปุ่นนักที่จะจดบันทึกแนวคิดแบบนี้ คุณคิดยังไงล่ะถ้ามีคนบอกให้คุณเขียนคำว่า “ฉันอ่านหนังสือ” เป็น “ฉันหนังสืออ่าน”?
ต่อมาชาวญี่ปุ่นจึงเริ่มแปลงภาษาจีนโดยเปลี่ยนลำดับของคำและใส่อนุภาคบางอย่างที่แสดงถึงความเป็นญี่ปุ่น ให้มากขึ้น อ่านภาษาจีนในวิถีภาษาญี่ปุ่นอาจเป็นความคิดที่บ้า แต่แนวคิดนี้ก็ยังมีให้เห็นอยู่ในหลักสูตรการเรียนการสอนในระดับมัธยมปลายของญี่ปุ่น วิชานี้เรียกว่า ระบบคัมบัง
มีคันจิจำนวนไม่น้อยที่ถูกเปลี่ยนไปจนไม่เหลือความหมายเดิมของมันเมื่อมันถูกใช้ในการสะกดคำในภาษาญี่ปุ่นและใช้เป็นหลักไวยากรณ์ บางครั้ง คันจิตัวที่ต่างกันมักถูกนำมาอ้างอิงเป็นเสียงเดียวกัน และก็แปลกอีกตรงที่ คันจิหนึ่งตัว สามารถออกเสียงได้มากกว่าหนึ่งเสียง มันค่อนข้างวุ่นวายอยู่พอตัว ดังนั้น เขาเลยสร้างมาตรฐานใหม่ โดยให้ตัวคันจิที่ยืมมาและที่ถูกกำหนดให้มีความหมายเดิมตั้งแต่ต้นนั้นไร้ประโยชน์ทั้งหมด คันจิที่ถูกกำหนดมาตรฐานใหม่ ทำให้ง่ายขึ้นนั้น จึงกลายมาเป็นฮิรางานะ และคาตาคานะอย่างเช่นปัจจุบัน ใช่แล้ว ฮิรางานะ และคาตาคานะก็คือคันจิที่ผิดรูปไปแล้วนั่นเอง!!!

ฮิรางานะ
ฮิรางานะเป็นตัวอักษรที่กำเนิดมาจากรูปแบบการเขียนอักษรจีนประเภทหนึ่งที่เรียกว่า การเขียนแบบหวัด บางตัวจะดูคล้ายคลึงกับตัวอักษรแรกเริ่มของมันเช่น い&以, も&毛, け&計 ขณะที่บางตัวอาจต้องใช้จินตนาการเพิ่มขึ้นมาอีกนิดหน่อย นักเรียนญี่ปุ่นทุกคนจะเริ่มฝึกการเขียนฮิรางานะเบื้องต้นก่อน ซึ่งถือเป็นบทพื้นฐานที่ควรรู้ก่อนเป็นอันดับแรก เราสามารถเขียนบทความภาษาญี่ปุ่นโดยใช้แค่ฮิรางานะก็ย่อมได้ แต่ปัญหาก็คือ ภาษญี่ปุ่นจะไม่มีช่องว่างระหว่างคำญี่ปุ่นสองคำอย่างเช่นในภาษาอังกฤษและภาษาญี่ปุ่นยังมีส่วนประกอบอะไรหลายๆอย่างเช่นการอ่านออกเสียงที่หยิบยืมมาจากภาษาจีนอยู่ด้วย บทความที่ใช้ฮิรางานะเพียงอย่างเดียว อาจจะอ่านยากสักหน่อย ไม่ใช่แค่คนต่างชาติ คนญี่ปุ่นก็อ่านยากเช่นกัน เช่น 投資 (ลงทุน,อุทิศ) ,闘志 (จิตวิญญาณการต่อสู้), 凍死 (แข็งตาย), 唐詩 (บทกวีบทหนึ่งที่เขียนขึ้นในสมัยราชวงศ์ถัง) และ 党史 (ประวัติศาสตร์เกี่ยวกับพรรคการเมือง) ทั้งหมดนี้สามารถเขียนแทนเป็น とうし (โทอุชิ) ในฮิรางานะได้ อย่างที่คุณเห็น “โทอุชิ” คำนี้จะไม่มีความหมายเลยถ้ามันอยู่ตัวเดียวโดดๆ รู้อย่างนี้แล้ว คุณจะยังเซ็นเอกสารโดยใช้แค่ ฮิรางานะ อย่างเดียวอยู่อีกไหม?

คาตาคานะ
คาตาคานะเป็นตัวอักษรที่กำเนิดมาจากรากศัพท์ของคันจิ เช่น イ มีรากศัพท์มาจาก 伊 เป็นต้น หลังสงครามโลกครั้งสองจบลง คาตาคานะจะนำมาใช้เขียนเฉพาะคำที่ยืมมาจากภาษาอื่นที่ไม่ใช่ภาษาจีน (เช่นカメラ (กาเมระ) เป็น “กล้อง”(คาเมร่า) แทน) และคำจำพวกศัพท์ทางวิทยาศาสตร์ก็ด้วย (เช่น イヌ แทนคำ 犬 หรือ いぬ (สุนัข)) นักเขียนนวนิยายจะใช้คำในคาตาคานะเพื่อแสดงให้เห็นว่าตัวละครในเรื่องเข้าใจคำๆนั้นว่าออกเสียงอย่างไร แต่ไม่รู้ว่ามันแปลว่าอะไร และนักเขียนการ์ตูนก็จะชอบเขียนบทสนทนาขึ้นมาเป็นคาตาคานะเพื่อแสดงให้เห็นว่าตัวละครที่พูดบทสนทนานั้นเป็นชาวต่างชาติ จึงเกิดเทคนิคแนวทางการเขียนที่สนุก ตลกมากขึ้นซึ่งไม่มีทางพบเจอในโลกที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก ทั้งหมดเป็นเพราะคาตาคานะ

คันจิ
คันจิถือได้ว่าเป็นสิ่งที่นักเรียนภาษาญี่ปุ่นเกลียดกันหมดทุกคน ไม่เว้นเจ้าของภาษาเองเช่นกัน ฉันที่เป็นคนจีนแล้วนั้น ก็เกลียดมันมาก เพราะว่าภาษาจีนนั้นเต็มไปด้วยคันจิ และคันจิแทบทั้งหมด การเขียนคันจิเป็นอีกทางที่จะช่วยให้ดินสอของคุณหักเร็วขึ้น และช่วยเพิ่มกล้ามแขนให้คุณด้วย แต่ภาษาญี่ปุ่นก็ไม่ใช่ภาษาที่งี่เง่าหรอกนะ มันต้องมีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้พวกเขายังคงไว้ซึ่งตัวคันจิในภาษาญี่ปุ่นทั้งที่มันเรียนและเขียนยากมากขนาดนี้

งั้น แล้วเหตุผลมันคืออะไรล่ะ?
อันดับแรก, คันจิสามารถสื่อความหมายที่ซับซ้อนออกมาขณะที่ยังคงความสั้นของวลีเอาไว้ได้ เช่นคำว่า 上半期 กับ “ช่วงครึ่งแรกของปี” ในภาษาอังกฤษ เรามักจะต้องแยกตัวอักษรตัวแรกในวลีนั้นๆออกมาเป็นรูปย่อเพื่อที่จะทำให้วลีนั้นสั้นลง แต่ผลที่ออกมากลับทำให้เข้าใจยากขึ้นไปอีก คันจิไม่มีปัญหาในด้านนี้เลย เพราะว่า คันจิทุกตัว มีความหมายในตัวของมันทุกคำ อันที่จริงแล้ว ฉันกลับรักคันจิซะอีกเมื่อต้องมาใช้โปรแกมเอ็กเซลในการทำงานของฉัน
ในการเขียนญี่ปุ่นสมัยใหม่จะมีการนำคันจิมาผสมกับฮิรางานะและคาตาคานะ ด้วย เนื่องจากคันจิมักจะเป็นคีย์เวิร์ด หรือคำสำคัญของบทความต่างๆ รูปแบบการผสมผสานแบบนี้จะช่วยเน้นคำสำคัญให้โดยอัติโนมัติ ทำให้ผู้อ่านสามารถอ่านได้อย่างรวดเร็ว เดี๋ยวฉันจะทำให้คุณดู ลองอ่านประโยคข้างล่างนี้ดู:
“ตัวอักษรคาตาคานะรับเอามาจาก 中国 เมื่อหลายปีก่อน”
คุณเห็นว่าตัว 中国 มันยื่นออกมาจนคุณเห็นได้อย่างชัดเจนไหมล่ะ? อย่างไรก็ตาม ตัวคันจิตัวนั้นแปลว่า “ประเทศจีน”
อีกทั้ง คันจิยังเป็นตัวช่วยอำนวยความสะดวกในการสร้างคำ ประกอบคำขึ้นมาอีกด้วย ตัวอย่างเช่น ไม่มีใครรู้ว่าหรอกว่า pneumonia และ osteoporosis มันแปลว่าอะไรถ้าไม่ได้อ้างอิงจากพจนานุกรมหรือมีคนมาอธิบายให้ฟัง แต่คนญี่ปุ่นทุกคนกลับเข้าใจคำว่า 肺炎 และ 骨粗鬆症 จากการอ่านตัวคันจิเท่านั้น โดยมันแปลว่า “โรคปอดบวม” และ โรคกระดูกพรุน

โรมาจิ
ชื่อที่ดูสวยงามของมันแท้จริงแล้วเป็นการเขียนเสียงญี่ปุ่นด้วยตัวอักษรภาษาอังกฤษ ฉันพบว่า ตำราสอนภาษาญี่ปุ่นสำหรับผู้เริ่มต้นที่พูดภาษาอังกฤษเป็นหลักนั้นจะใช้โรมาจิในการสอนเสียส่วนมาก ซึ่งนั่นเป็นทางเลือกที่แย่สำหรับตัวฉัน
ทำไมน่ะเหรอ? เหตุผลแรกเลยคือ คนญี่ปุ่นไม่นิยมเขียนหนังสือ หรือบทความเป็นโรมาจิทั้งเล่ม โรมาจิจะใช้ในการถอดความชื่อคน ชื่อสถานที่ หรือคำเขียนอย่างเช่น DVD, ‘Eメール’ (Email) เป็นต้น ในชีวิตจริงนั้น คุณจะไม่มีวันเจอข้อความภาษาญี่ปุ่นแบบนี้ “watashi ha nihonji desu.” และก็ไม่ควรเขียนภาษาญี่ปุ่นแบบนี้ด้วยเช่นกัน ดังนั้นตำราพวกนั้นจึงสอนแต่สิ่งที่ไม่มีทางได้พบเห็นในชีวิตจริงแทบทั้งหมด
และเหตุที่สองคือ มันทำให้ผู้เรียนภาษาญี่ปุ่นจะอ่านออกเสียงคำญี่ปุ่นในแบบภาษาอังกฤษถ้ามันถูกเขียนขึ้นโดยใช้โรมาจิ คุณจะตำหนิฉันไหมถ้าฉันจะออกเสียงตัว R ในภาษาญี่ปุ่นแบบภาษาอังกฤษทั้งๆที่ฉันเห็นมันมีแค่ ‘ra, ri, ru, re, ro’? ดังนั้น ผู้เรียนที่เรียนผ่านซีดีสื่อการสอนจะออกเสียงด้วยสำเนียงที่ผิดเพี้ยนตั้งแต่เริ่มต้น และต้องใช้เวลานานพอควรที่จะลบล้างความเข้าใจที่ผิดแบบนั้นจนหมด
สุดท้าย แต่ไม่ท้ายสุด, ใช่ว่า บทความที่ใช้แต่ฮิรางานะจะอ่านยากเพียงอย่างเดียว บทความที่ใช้แต่โรมาจิล้วนก็อ่านยากเช่นกัน แม้แต่เจ้าของภาษาเองก็ยังอ่านบทความที่ใช้โรมาจิล้วนไม่ได้เลย เพราะว่าด้วยจำนวนของคำพ้องเสียงที่มากมายเหลือเกิน คุณจะอยู่ในอาการสับสนทันทีเมื่อเจอคำว่า “คันเซย์” ที่แปลว่า “ให้กำลังใจ” ในบทที่ 1 แต่เมื่อไปเจอมันอีกทีในบทที่ 11 กลับแปลว่า “เสร็จสิ้น” โอไม่ มันยังแปลได้อีกความหมายหนึ่งว่า “ความเกียจคร้าน” หรือแปลว่า “ควบคุม” ในบทถัดไปก็ได้

4. บอกฉันเพิ่มเติมเกี่ยวกับระบบการออกเสียงในญี่ปุ่นหน่อยสิ
ไม่ได้ว่ากันนะ แต่เป็นที่รับรู้กันทั่วไปแล้วว่า คนญี่ปุ่นจะพูดภาษาอังกฤษด้วยสำเนียงที่แปลกหู มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรื่องสติปัญญา มันเป็นเพราะว่า เสียงในภาษาญี่ปุ่นมันแตกต่างกับเสียงในภาษาอังกฤษอย่างมาก มีหลายเสียงเลยที่ภาษาอังกฤษมี แต่ภาษาญี่ปุ่นกลับไม่มี เช่นพวกเสียง ‘ธ’, ‘ร’, ‘ฟ’ และภาษาญี่ปุ่นมีสระเพียงแค่ 5 ตัว มี อะ อิ อุ เอะ โอะ นอกเหนือจากนั้น ไม่มี คุณคงจะเข้าใจแล้วสินะว่ามันยากแค่ไหนสำหรับชาวญี่ปุ่นที่เริ่มเรียนภาษาอังกฤษ
ภาษาญี่ปุ่นยังคงมีเสียงพยัญชนะอยู่ ผู้ที่พูดภาษาอังกฤษสบายใจได้ ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แต่พยัญชนะที่ไม่ออกเสียงของภาษาญี่ปุ่นนั้นสามารถออกเสียงได้สอบแบบ แบบปล่อยลม กับแบบกักลม ถ้าไม่เข้าใจว่า การปล่อยลม คืออะไร อธิบายง่ายเลยคือ พยัญชนะที่ไม่ออกเสียงในภาษาอังกฤษทุกตัวถือว่าเป็นแบบปล่อยลม ยกเว้นตัวที่ต่อท้ายตัว S เช่นตัว P ในคำว่า Sport กับ Port นั้นอ่านออกเสียงต่างกันอย่างสิ้นเชิง ลองด้วยตัวเองก็ได้ ตัว P ที่ต่อท้ายตัว S จะถือว่า เป็นพยัญชนะเสียงกักเสียดแทรก พยัญชนะที่เป็นเสียงกักเสียดแทรกนั้นพบเจอได้ทั่วไปในญี่ปุ่น แต่มันถูกกล่าวถึงน้อยมากในตำราเรียน ผลลัพธ์ก็คือ ผู้เรียนที่พูดภาษาอังกฤษจะออกเสียงทั้งหมดเป็นแบบปล่อยลม ออกมาเป็นภาษาญี่ปุ่นสำเนียงต่างชาติแทน วิธีแก้ไขปัญหานี้ แนะนำให้ฝึกออกเสียงคำภาษาอังกฤษที่ขึ้นต้นด้วยตัว S เช่น “start”, “sky”, “space” แล้วค่อยพยายามออกเสียงคำเดิมนี้โดยที่ไม่ออกเสียง S
แม้ว่าภูเขาไฟฟุจิจะเป็นที่โด่งดังมาก แต่ความจริงแล้ว ในภาษาญี่ปุ่นไม่มีเสียงภาษาอังกฤษ F อยู่ ฟันหน้าแถวบนของพวกเขาไม่เคยแตะที่ปลายลิ้นเลย จึงเป็นเหตุที่ทำให้ภาษาญี่ปุ่นไม่มีเสียง V เช่นกัน ดังนั้น เมื่อคุณออกเสียง S หรือ V ขณะที่พูดภาษาญี่ปุ่นออกมา แสดงว่าคุณกำลังพูดด้วยสำเนียงที่ไม่ถูกต้องอยู่

5. ฉันควรเลือกทำแบบทดสอบความสามารถทางภาษาญี่ปุ่นแบบไหนดีล่ะ?
แบบทดสอบที่เป็นที่รู้จักกันมากที่สุดคงหนีไม่พ้น JLPT (แบบทดสอบการวัดระดับความรู้ภาษาญี่ปุ่น) ซึ่งประกอบไปด้วยระดับความสามารถ 5 ระดับ ไล่ตั้งแต่ N5 (ขั้นพื้นฐาน) ไปจนถึง N1 (ขั้นสูงสุด) ซึ่งตามที่ฉันสืบทราบมา ว่าบริษัทญี่ปุ่นต้องการให้พนักงานที่จะสมัครเข้าทำงาน สอบไล่ให้ได้อย่างน้อยระดับ N2
JLPT ก็เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างหนาหูในหมู่นักเรียนและอาจารย์สอนภาษาญี่ปุ่นอยู่เหมือนกัน เพราะข้อสอบทั้งหมดจะเป็นแบบปรนัย ไม่มีทดสอบทักษะการพูดภาษาญี่ปุ่น ซึ่งก็ทำให้เกิดข้อเท็จจริงตามมาว่า ถึงแม้จะมีคนที่สอบผ่านกันเยอะ แต่คนเหล่านั้นกลับพูดภาษาญี่ปุ่นได้ไม่ค่อยจะคล่องนัก แต่ฉันคิดว่า การสอบให้ได้ระดับ N1 และ N2 มันต้องใช้เวลานานมากในการร่ำเรียน (900 กับ 600 ชั่วโมงโดยประมาณ และอาจจะนานกว่านี้ถ้าผู้เรียนไม่มีพื้นฐานคันจิ) ฉะนั้น ผู้ที่สอบผ่านถึงระดับที่ว่านั้นได้ ก็น่าจะมีทักษะทางภาษาญี่ปุ่นที่มากอยู่ หมายความว่ามันทำให้การสอนงานให้กับคนเหล่านั้น เป็นไปได้ง่ายกว่าการมานั่งสอนงานให้กับมือใหม่หรือผู้ไม่มีพื้นเลย
อย่างไรก็ตาม ถ้ามีคนมาถามคุณว่าเก่งภาษาญี่ปุ่นแค่ไหน ก็ให้ยื่นผลการทดสอบ JLPT เป็นหลักฐานให้ดูเลย

6. ภาษาญี่ปุ่นเป็นญาติห่างๆกับภาษาอื่นด้วยหรือเปล่า?
อย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้นแล้ว ตัวอักษรคันจิในภาษาญี่ปุ่นนั้นเดิมเป็นตัวอักษรภาษาจีนมาก่อน คนญี่ปุ่นกับคนจีนสามารถสื่อสารกันได้อย่างรู้เรื่อง เข้าใจโดยใช้คันจิแม้ว่าพวกเขาจะไม่เคยฝึกภาษาต่างประเทศอื่นเลยก็ตาม แต่ความสัมพันธ์ระหว่างสองภาษานี้เป็นอันต้องจบลง เพราะหลักไวยากรณ์ของทั้งคู่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง การเรียงคำก็ยังเรียงกลับหลังอีก ขณะที่ผู้คนสามารถสื่อสารกันได้รู้เรื่องผ่านการเขียนตัวคันจิ แต่ในการสื่อสารกันผ่านคำพูดกลับไม่รู้เรื่องเลย ความแตกต่างกันระหว่างภาษาจีนกับภาษาญี่ปุ่นนั้นมีมากมายกว่าความแตกต่างระหว่างภาษาจีนกับภาษาอังกฤษซะอีก
ภาษาญี่ปุ่นจึงถือว่าเป็นภาษาที่อยู่ตัวคนเดียว โดยที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกันกับภาษาอื่น แต่มันมีการยืมคำมาจากภาษาจีนและยุโรปบางคำอยู่บ้าง ดังนั้นถ้าคุณพูดภาษาจีนได้ ภาษาอังกฤษได้ หรือได้ทั้งคู่ คุณก็รู้จักคำในภาษาญี่ปุ่นไปแล้วกว่าพันคำโดยปริยาย

7. ภาษาญี่ปุ่นนี่มีสำเนียงเฉพาะถิ่นบ้างไหม?
น่าประหลาดใจอยู่เหมือนกัน ที่ภาษาญี่ปุ่นกลับมีสำเนียงเฉพาะถิ่นอยู่มากมาย แบ่งออกได้เป็นสองกลุ่มใหญ่ๆ กลุ่มแรกจะเป็นสำเนียงโตเกียว ซึ่งเรียกว่า 標準語 (สำเนียงกลาง) สำเนียงนี้ใช้สอนกันในโรงเรียนเป็น 国語 (ภาษาประจำชาติ) อีกกลุ่มหนึ่งเป็นสำเนียงโอซาก้า เรียกกันทั่วไปว่า คันไซเบน (สำเนียงคันไซ)
ข้อแตกต่างของทั้งสองสำเนียงนี้มันช่างใหญ่กว่าข้อแตกต่างกันระหว่างภาษาอังกฤษสำเนียงอังกฤษ กับสำเนียงอเมริกันเสียอีก แต่ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ทำให้การสื่อสารกันของคนญี่ปุ่นต่างท้องถิ่นกันไม่มีปัญหาแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม ผู้เรียนจะพบว่า การฟังสำเนียงคันไซจะเข้าใจได้ยากสักหน่อย เพราะว่าไม่เพียงแต่การออกเสียงสูงต่ำจะยากอย่างเดียว หลักไวยากรณ์ของมันก็ยังยากด้วย อย่างเช่น だめ (ไม่โอเค )ในสำเนียงกลางจะเป็นแบบนี้ ส่วนสำเนียงคันไซจะเป็น あかん แทน ซึ่งนี่ไม่มีอยู่ในตำราแต่อย่างใด
ในความคิดฉัน ฉันคิดว่าจำเป็นต้องเรียนรู้สำเนียงหลักให้ชำนาญเพื่อที่คุณจะได้เข้าใจสิ่งที่คนพูด ถ้าเขาพูดเป็นสำเนียงถิ่น คนญี่ปุ่นก็จะประทับใจในตัวคุณถ้าคุณพูดสำเนียงคันไซได้อย่างคล่องแคล่ว นั่นรวมถึงสาวๆก็ด้วยนะ
เอาล่ะ ฉันรู้ล่ะว่าจั่วหัวไว้ว่าแบบกระชับ แต่นี่เล่นซะยาวเหยียดเลย ยังไงก็ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกัน

วิธีการเรียนรู้ภาษาญี่ปุ่นได้อย่างรวดเร็ว: 4 ทางลัดสุดเจ๋ง

คุณอยากพูดภาษาญี่ปุ่นให้ได้ตอนนี้เลยใช่ไหม?
ใช่!!! เดี๋ยวนี้เลย
ถ้าคำโปรยข้างต้นคือสิ่งที่คุณไขว่คว้าอยู่ ฉันคิดว่าฉันพอหาทางให้คุณได้นะ (และหวังว่า คุณจะไม่ผวาไปเสียก่อน)
คุณคงจะเคยเงยหน้าขึ้นมาหลังจากจมไปกับหนังสือเรียน กับหนังสือการ์ตูนมังงะ หรือเงยหน้าขึ้นมาจากความรู้สึกสิ้นหวังว่าเราจะต้องพูดภาษาญี่ปุ่นไม่ได้เรื่อง คุณแหงนหน้าขึ้นไปมองบนฟ้าอย่างอ้อนวอนพร้อมกับคิดว่า:
เรามันเรียนไม่เข้าหัวเลยว่ะ!
ดังนั้น คุณเลยพุ่งไปที่คอมพ์ของคุณ พิมพ์ลงไปในช่องค้นหาของกูเกิ้ลอย่างสิ้นหวังว่า “วิธีเรียนรู้ภาษาญี่ปุ่นให้ได้อย่างรวดเร็ว” แล้วไงต่อ? มันขึ้นอะไรมาให้คุณบ้าง? พนันได้เลยว่าคุณจะพบเจอกับผู้คนมากมายตามช่องความคิดเห็นที่คอยดับไฟความมุ่งมั่นของคุณ หรือที่แย่ไปกว่านั้น พวกเขาจะบอกกับคุณเลยว่า ให้เลิกเรียนภาษาญี่ปุ่นไปซะ เพราะว่ามันเป็นภาษาที่เรียนและเข้าใจได้ยากที่สุดในโลก คุณนั่งจมบนเก้าอี้ คอตก ครุ่นคิดว่านี่เรากำลังทำอะไรอยู่กันแน่?
สูดหายใจเข้าช้าๆลึกๆ ไม่ต้องไปสนใจคนพวกนั้น หาขนมขบเคี้ยวทานเล่นสักหน่อย
ไม่ว่าคุณจะเพิ่งเริ่มเรียน ฮิรางานะ และ คาตาคานะ เป็นครั้งแรก หรือเพิ่งพานพบกับภาษาที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน โดยที่คุณรู้สึกว่า ยิ่งเรียนก็ยิ่งไปไม่ถึงไหน
ถ้าสมัยเด็ก คุณเคยถูกจับโยนลงไปในทะเลสาบและโดนคนบนบกสั่งว่าให้ว่ายน้ำให้ได้ล่ะก็ คุณก็น่าจะรู้ว่า คุณทำอย่างนั้นไม่ได้แน่นอน คุณไม่สามารถที่จะลังกาหลังแล้วว่ายท่าผีเสื้อได้ราวกับนักกีฬาว่ายน้ำอย่างทันทีทันใดได้หรอก แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ มันก็ยังพอมีทริคที่จะช่วยให้คุณเรียนรู้ได้เร็วขึ้นอยู่บ้าง
กุญแจสำคัญในการพัฒนาทักษะคุณคือการผนวกรวมกัน รวมอักษรคันจิเข้ากับการท่องศัพท์ของคุณ รวมแรงกับเพื่อนของคุณ รวมหลักไวยากรณ์เข้ากับการฝึกพูดของคุณ และรวมวิถีชีวิตประจำวันของคุณเข้ากับสิ่งเร้าที่มีองค์ประกอบของภาษาญี่ปุ่น
นี่เป็นเคล็ดเล็กๆน้อยๆเพื่อเพิ่งพลังให้กับคุณ

วิธีการเรียนรู้ภาษาญี่ปุ่นได้อย่างรวดเร็ว: 4 ทางลัดสุดเจ๋ง

1.ท่องคำศัพท์กับท่องคันจิไปพร้อมๆกัน
ยอมรับซะเถอะ: การเรียนคันจิ (漢字 หรือตัวอักษรภาษาจีน) นั้นไม่เป็นมิตรกับคุณเลยแม้แต่น้อย มันเรียนรู้ได้ช้า และยากที่จะเข้าใจ ในหนังสือเรียนส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยมีบริบทให้กับคันจิเพื่อนำไปใช้ได้จริงเลย แถมยังมีตัวอักษรตั้ง 2,000 ตัวที่ใช้กันเป็นปกติ ทรมานคุณไม่จบไม่สิ้น เริ่มไม่เห็นทางลัดแล้วใช่ไหมล่ะ?
แต่อย่าได้กลัวไปเลย ยังมีทางออกอยู่ ฉันมั่นใจอย่างยิ่งยวด เอาล่ะเมื่อคุณเลื่อนมาถึงนี่แลว และเป้าหมายคุณก็คืออยากเรียนภาษาญี่ปุ่นได้อย่างคล่องแคล่วในเวลาอันรวดเร็วแล้วละก็ คุณจะต้องหาทางอ้อมให้กับตัวอักษรคันจิและลำดับจังหวะของพวกมัน อย่างน้อยก็ในตอนนี้ ด้วยเครื่องมือเครื่องไม้ที่ทันสมัยในยุคนี้ เลยทำให้การเขียนคันจิให้ได้นั้นถูกลดความสำคัญลง และไปเพิ่มให้กับการสะกดในรูปของฮิรางานะใส่โทรศัพท์สมาร์ทโฟนให้ถูกต้อง
อย่างไรก็ตาม ที่คุณต้องทำก็คือ ต้องเพิ่มคลังคำศัพท์ให้กับตัวคุณให้ได้มากที่สุด งานช้างเลยเนอะ แหงล่ะ และนี่คือจุดเริ่มต้นให้กับคุณ:
คุณต้องตั้งเป้าหมายให้กับตัวเองเสียก่อน
แต่คุณจะจัดการเป้าหมายในการท่องศัพท์ของคุณได้อย่างไร ในขณะที่คุณก็ต้องเรียนรู้ตัวอักษรคันจิที่คุณสามารถเอาไปใช้ในการสนทนาให้ได้ด้วย?
เข้าทดสอบ การสอบวัดระดับความรู้ภาษาญี่ปุ่น หรือ JLPT
เข้าไปที่ “日本語単語スピードマスター (にほんご たんご すぴーどますた” ของซายากะ คุระชินะ สำหรับคำศัพท์ใน JLPT ระดับ 1-5
“โอ๊ยย” คุณจะต้องร้องโวยวายแน่นอนว่า “แต่ฉันเกลียดการสอบ และมันไม่ได้ทดสอบเขียนหรือพูดเลยนี่”
อา โปรดฟังก่อน พ่อคนใจร้อน
คิด วิเคราะห์ แยกแยะ
คุณต้องมีเป้าหมายเพราะว่าคุณจะได้มีอะไรบางอย่างมาเป็นตัวชี้วัดความก้าวหน้าของคุณ แต่คุณต้องกำหนดกรอบเวลาด้วย มันจะบังคับให้คุณตั้งใจเรียนให้ดีขึ้น
เอาเป็นว่า เป้าหมายของคุณคือพิชิต JLPT ให้ได้ในระดับที่เหมาะสมภายในหน้าหนาว หรือหน้าร้อนปีหน้า ตอนนี้คุณต้องรีบหาหนังสือชื่อ “สปีด มาสเตอร์” หนังสือที่รวบรวมคำศัพท์ไว้ได้อย่างหลากหลายมาไว้ในครอบครองด่วนที่สุด ในแต่ละห้าระดับของซีรี่ส์ คุณจะได้เรียนรู้คำศัพท์ที่จำเป็นสำหรับการทดสอบแต่ละครั้งตามบริบทต่างๆ บทต่างๆจะครอบคลุมหัวข้อบทสนทนาในแต่ละหัวข้อ ดังนั้นคำศัพท์ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดที่คุณต้องการสำหรับ “การคมนาคม” ของคุณนั้น รวมอยู่ในที่เดียวแล้ว
แต่ช้าก่อน คุณอาจจะถามกลับว่า แล้วฉันจะไปเรียนคันจิจากไหนกันล่ะ?
นี่แหละ ความสวยงามของโลกหนังสือ มันจะมีแผ่นสีแดงๆโปร่งแสงบางส่วนรวมอยู่ด้วย ซึ่งเจ้าแผ่นนี้ เมื่อเราไปวางไว้เหนือหน้ากระดาษ จะทำให้คำแปลภาษาอังกฤษนั้นอัตรธานหายไป เมื่อคุณศึกษาความหมายของมันไปบ้างแล้ว ก็ให้ใช้แผ่นสีแดงนี้ซะ แล้วคุณจะสามารถจดจำการอ่านคำศัพท์นั้นๆได้โดยเห็นแค่ตัวอักษรคันจิเท่านั้น
คุณจะสามารถจดจำรูปร่าง เสียง และความหมายของคันจิแต่ละตัวได้ นอกจากนี้ เนื่องจากคำศัพท์ถูกจัดเป็นหัวข้อเล็กๆที่เป็นระเบียบเรียบร้อยไว้แล้วนั้น คุณจะเริ่มตระหนักถึงตัวคันจิที่เพิ่มขึ้นมาในแต่ละบท คุณก็จะเริ่มเดาการออกเสียงของคำศัพท์ใหม่ๆที่คุณเจอได้และที่สำคัญกว่านั้น คุณจะเริ่มเดาความหมายของมันได้ ถ้าคุณกำลังพยายามจดจำความหมายของตัวอักษรบางตัวอยู่ ลองคิดให้มันง่ายๆแบบนี้ดูสิ:
“โอ้ นั่นคือ 会 (かい พบเจอ) อย่างเดียวกับที่อยู่ใน 会話 (かいわ บทสนทนา) ซึ่งคำทั้งสองคำนี้ มันต้องเกี่ยวข้องอะไรบางอย่างกับการประชุม หรือการรวมตัวกันอย่างแน่นอน”
会話 พบเจอ + พูดคุย = บทสนทนา
会社 พบเจอ + ในสังคม = บริษัท
นี่แหละส่วนดีของคันจิ มันต้องเกี่ยวข้องกับการสร้างประโยคอยู่วันยันค่ำ
ยิงยาวการฝึกทบทวนไปเลย สักอาทิตย์ละหนึ่งบทและคลังความรู้ของคุณจะเป็นแรงผลักดันที่คุณควรคำนึงถึง

2.ฝึกใช้หลักไวยากรณ์ในชีวิตประจำวันใก้เกิดความชำนาญ
แน่นอน คุณกระวนกระวายใจที่จะต้องพูดภษาญี่ปุ่นให้ได้เดี๋ยวนี้ แต่คุณอาจได้ยินไวยากรณ์ที่ซับซ้อนแบบมหาหินจากมังงะหรือในหนังญี่ปุ่นจนทำให้คุณรู้สึกว่า อะไรกันเนี่ย ก็เป็นได้
เอาแบบนี้ละกัน: ถ้าคุณอยากจะพูดเป็นให้เร็วนักหนาแล้ว คุณจะต้องก้าวไปตามขั้น
แทนที่จะถีบตัวเอง กดดันตัวเองว่าทำไมถึงไม่เข้าใจอะไรเลยสักอย่าง ลองเริ่มจากฝึกพูดบทสนทนาเล็กๆน้อยๆก่อนเป็นไง เมื่อคุณพบคนๆหนึ่งเป็นครั้งแรก คุณจะพูดว่าอะไร? เริ่มจากตอนคุณตื่นนอนในตอนเช้าล้ากล่าวทักทายเพื่อนร่วมห้องของคุณหรือครอบครัวเขาก่อนดีไหมล่ะ? แค่นี้คุณก็เริ่มจะพูดได้ดีขึ้นมาบ้างแล้วล่ะ
คุณสามารถทำเช่นนี้ได้ในประเทศญี่ปุ่น ต่อเมื่อสิ่งที่คุณพูดยังเป็นเรื่องราวในชีวิตประจำวันอยู่ คุณก็จสามารถเริ่มต้นบทสนทนาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นแล้ว
ทางที่ดีที่สุดในการฝึก: หาเพื่อนคู่หูชาวญี่ปุ่นสักคน
โน้มน้าวเพื่อนของคุณดูสิ คุณมีเพื่อนที่ชื่นชอบอากิระ คุโรซาวะเหมือนกันมั้ย? เกณฑ์เขาเข้ามา อยู่เอกเดียวกันรึเปล่า? ชอบการแข่งขันไหม? เนิร์ดรึเปล่า? ดี!!!
ทีนี้ มาเริ่มกันที่พื้นฐานของคุณก่อนเลย ลองใช้ไวยากรณ์พื้นฐานที่ไว้แนะนำตัวในหนังสือ “みんなの日本語 (みんなのにほんご)” ซึง่เดี๋ยวฉันจะอธิบายเพิ่มเติมในภายหลัง แล้วก็หันหน้าเข้าหากัน คุยกันเลย!!! นึกประโยคที่เกี่ยวกับชีวิตประจำวันดูซิ ว่ามีอะไรบ้าง?
กล่าวทักทาย
おはようございます = อรุณสวัสดิ์
こんにちは = สวัสดี/ทิวาสวัสดิ์
こんばんは = สายัณห์สวัสดิ์
สภาพอากาศ
良い天気ですね。 (いいてんきですね。) = อากาศดีนะ ว่าไหม?
暑いですね。 (あついですね。) = ร้อนจังเลยเนอะ
寒いですね。 (さむいですね。) = หนาวจังเลย
การบอกเวลา
今何時ですか?(いまなんじですか?) = นี่กี่โมงแล้ว?
7時です。 (しちじです。) = 7 โมงเช้าแล้ว
นี่อะไรน่ะ/ นั่นอะไรน่ะ/มันคือ…
今何時ですか?(いまなんじですか?) = นี่/นั่น/โน่นอะไรน่ะ
これ/それは。。。です = นี่/นั่นคือ…
คุณพอจะมี…?
…. ありますか?= คุณมี…/มี…ไหม?
คุณทำอะไรอยู่?
何をしていますか?(なにをしていまか?) = คุณทำอะไรอยู่?
เมื่อวานคุณทำอะไรบ้าง?
昨日何をしましたか?(きのう なにをしましたか?) = เมื่อวานคุณทำอะไรบ้าง?
หาเพื่อนร่วมทางไปกับคุณ ในหนทางการฝึกภาษานี้ แล้วคุณจะรู้สึกเหนื่อยน้อยลงไปเยอะทีเดียว ไม่รู้สึกว่าเราตัวคนเดียว ครั้งแรกคุณก็คงมีเขินอายกันบ้างล่ะ หรือเอาแต่แลกเปลี่ยนเรื่องนั้นเรื่องนี้ ขำกันไปมา แต่ภายหลังคุณจะพบว่า ยิ่งคุณฝึกแลกเปลี่ยนความรู้กัน แม้เพียงแค่ประโยคเรียบง่ายเท่าไหร่ มันก็จะยิ่งคลายความอึดอัดในตัวคุณและทำให้คุณคุ้นเคยกับหลักไวยากรณ์ เสียงของภาษานั้นๆมากยิ่งขึ้น
ยิ่งพูดมากเท่าไหร่ พัฒนาการของคุณก็จะไปเร็วมากเท่านั้น ฟันธง 100%


3.ทำให้หนังสือเรียนของคุณ ไปได้ไกลกว่าเดิม (โดยการพูดกับมัน?)

อย่างแรกคือ ถ้าคุณไม่มีหนังสือสอนหลักไวยากรณ์ในตัวเลย พุ่งเข้าไปที่เว็บอเมซอนให้ไวว่องแล้วหามาสักเล่ม อินเทอร์เน็ตเป็นสื่อที่ดีในการหาแนวทางการฝึกหลักไวยากรณ์ที่มันหลากหลาย แต่ถ้าคุณอยากสร้างพื้นฐานของคุณให้แข็งแรง มีทิศทางที่แน่นอนแล้วเนี่ย เป็นการดีที่สุดที่คุณควรหาแหล่งฝึกเรียนไวยากรณ์ที่รวบรวมไว้ในที่ๆเดียวกันจะดีกว่า
ถึงตอนนี้ฉันเชื่อละว่าคุณคงจะเคยค้นหาหนังสือหลายๆเล่ในอินเทอร์เน็ต เช่นหนังสือ ภาษาญี่ปุ่นสำหรับผู้ไม่ว่าง, เก็งคิ เจแปนนิส และอื่นๆอีกมากมาย พวกนี้ล้วนเป็นแหล่งเพิ่มพูนคลังคำศัพท์ชั้นดีให้กับเราเลย หลักไวยากรณ์ก็ดี ซึ่งมันก็เป็นของตายอยู่แล้วล่ หนังสือระดับนั้น แต่อย่างไรก็ตาม หนังสือเหล่านั้น มันมีคำอธิบายเป็นภาษาอังกฤษและคำแปลอยู่เยอะไป มันโอเคสำหรับผู้ที่เพิ่งจะเริ่มเรียน แต่การที่จะพึ่งแต่ภาษาอังกฤษไปตลอดการเรียน มันก็ไม่ทำให้คุณก้าวหน้าขึ้นหรอก
การรายล้อมทุกสิ่งไปด้วยภาษาญี่ปุ่นล้วน เป็นวิธีที่ดีที่สุด ถ้าอยากจะเก่งแบบไวว่อง ว่องไวแล้วนั้น ไม่มีวิธีไหนจะดีไปกว่าการเอาตัวเองเข้าไปข้องแวะกับภาษาญี่ปุ่นให้ได้มากที่สุดหรอก พอทำอย่างนั้นแล้ว เชื่อเถอะ ว่าคุณจะรู้สึกอึดอัดกับมันน้อยลง

เข้าไปที่ “みんなの日本語 (みんなのにほんご) (ภาษาญี่ปุ่นเพื่อทุกเพศทุกวัย) แล้วเลือกระดับเริ่มต้น ไล่ไปจนถึงระดับสูง เพชรชิ้นเอกชิ้นนี้เป็นประโยชน์แก่ผู้เริ่มหัดบินอย่างมาก มันจะแนะนำคุณให้รู้จักคุ้นเคยกับโครงสร้างประโยคที่พื้นฐานที่สุดในฮิรางานะ รวมไปถึงการกล่าวแนะนำตัว ทักทายขั้นพื้นฐานทั้งหมดอีกด้วย
ถือเป็นหลักเริ่มต้นที่ดีให้แก่คุณ และก็คอยเชื้อเชิญคุณให้ทำตาม ในขั้นแรก คุณจำเป็นต้องใช้สมาร์ทโฟนให้เกิดประโยชน์ในเรื่องของการทำความคุ้นเคยกับคำศัพท์ต่างๆให้มากที่สุด แต่ก็ต้องจดจำคำเหล่านั้นในบริบทที่แตกต่างกันออกไปให้ได้ด้วย แล้วก็ทำเหมือนที่คุณเคยทำสมัยเด็ก ฝึกทบทวนหลักไวยากรณ์ซ้ำไปซ้ำมา แล้วความหมายต่างๆก็จะสถิตอยู่ในหัวของคุณ
นี่คือสิ่งที่น่ารำคาญใจในการเรียนกับหนังสือ อย่างแรกเลยคือ มันน่าเบื่อ และพาลทำให้เหงาใจ และยังรู้สึกว่าเหมือนกำลังหายใจหลักไวยากรณ์ที่เรียนเข้าไป แล้วก็พ่นออกมา ไม่ได้เก็บไปถึงสมองเลย โดยส่วนตัวแล้ว ฉันเคยหงุดหงิด อารมณ์เสียกับการที่ต้องมานั่งอ่านกฎการใช้หลักไวยากรณ์มากมาย แทนที่จะเอาเวลาไปฝึกพูดเสียดีกว่า
เอ้านี้ เคล็ดลับอีกอย่างให้คุณ
ไปหาหนังสือที่พูดได้ หมายถึงมีแผ่นซีดีแนบมาด้วยอะนะ เป็นวิธีการเดียวที่จะได้ทั้งอ่าน และพูดไปในคราวเดียวกัน เป็นสิ่งหนึ่งที่ต้องอ่านและประมวลผล แต่ก็เป็นอีกอย่างหนึ่งที่จะทำให้คุณรู้สึกไม่สบายใจ ถ้าต้องมาใช้หลักไวยากรณ์ในการสนทนากับผู้อื่น โดยเฉพาะเมื่อใช้กับ “みんなの日本語,” และถ้าคุณได้ลองใช้แผ่นซีดี (ซึ่งคุณควรใช้มัน มันเจ๋งดี) แล้ว คุณจะสามารถ พัฒนาการออกเสียงในภาษาญี่ปุ่นของคุณ ให้เป็นธรรมชาติได้มากขึ้น
ตามนี้แหละ วิธีพูดกับหนังสือ ที่ดูจะเพี้ยนๆหน่อย แต่เดี๋ยวคุณก็ทำได้แหละ แล้วนี่ฉันพูดเรื่อง การอ่านออกเสียงดังๆ จะทำให้คุณรู้สึกสบายใจกว่านั่งอ่านอยู่คนเดียวแล้วรึยังล่ะ? กรรมของเวร
ถ้าอยากไปให้ไกลกว่าเดิม หรือหาความรู้เพิ่มเติมแล้ว ลองแวะไปที่ shadowing ดูนะ ลองนึกภาพคุณกำลังจะเริ่มงานที่ใหม่ แล้วคุณก็เดินตามรอยรุ่นพี่ที่ทำงานทุกอย่าง ไม่ว่าเขาจะทำอะไร คุณก็ทำตามเขาไปเสียหมด ทำแบบนี้
แหละ ทำแบบเดียวกันเลย นี่เป็นวิธีเล็กๆน้อยๆที่จะช่วยเริ่มต้นทางให้กับคุณ:

-ฟังบทพูดบรรยายไปโดยไม่ต้องดูบท
-ฟังอีกครั้งโดยให้อ่านบทตามไปด้วย อย่างเบา
-ฟังอีกทีพร้อมอ่านออกเสียงดังๆพร้อมกับซีดี
-สุดท้าย ปิดหนังสือ และลองพูดทวนประโยคที่พูดไป

(แบบนี้จะทำให้สมองของคุณตื่นตัว และเริ่มกระบวนการคิดว่า เราเพิ่งได้ยินอะไรไป และ
เตรียมคุณให้พร้อมพูดวนใหม่อีกรอบ)

4.สับเปลี่ยนนิสัยของคุณ (เพื่อหาเวลาว่าง)
ถือเป็นเรื่องสำคัญเลย
ถามตัวเองสักสองสามข้อ และต้องตอบอย่างซื่อสัตย์ด้วยนะ: ทำไมคุณถึงไม่เก่งภาษาญี่ปุ่นขึ้นมาบ้างเลย?
คุณอาจจะตอบกลับมาประมาณนี้:
-ฉันไม่มีเวลาเรียนเลย
-ฉันไม่มีความอดทนในการ เพราะมันไม่เห็นจะเก่งขึ้นเลย
-พอกลับจากโรงเรียน/ที่ทำงานแล้ว ฉันอยากพักผ่อนมากกว่า

เฮ้พวก ฉันนึกว่าคุณอยากเรียนภาษาญี่ปุ่นให้ได้เร็วๆซะอีกแน่ะ
ความจริงที่โหดร้ายก็คือ: การเรียนให้รู้เรื่องเร็วขึ้น มันก็ต้องเรียนให้หนักขึ้นกว่าเดิม วิธีที่ดีที่สุดในการลดความตึงเครียดในการเรียนภาษาก็คือ การรายล้อมไปด้วยภาษาญี่ปุ่น
เอาล่ลองถามตัวเองดู: อยากมากขนาดไหนๆ ถ้าอยากมากๆ เตือนฉันให้คอยถีบคุณให้ลุกออกจากเตียงด้วยนะ
เราจะมาลองวิเคราะห์วันหนึ่งๆของคุณและเปิดเผยทุกอย่าง ทุกเวลา กันดูซิ ว่ายังจะอ้างว่าไม่มีเวลาอีกหรือเปล่า เรากำลังจะอัดภาษาญี่ปุ่นเข้าไปในตัวคุณ
ที่คุณทำ: นั่งดูรายการทีวี HBO
ที่คุณควรทำ: นังดูละครญี่ปุ่น หนังญี่ปุ่น การ์ตูนญี่ปุ่นแทน เปิดคำบรรยายและจดศัพท์
ใหม่ๆทุกๆ 5-10 คำ
ที่คุณทำ: ฟังเพลงโปรดของคุณ
ที่คุณควรทำ: เน้นดู/ฟังรายการพอดแคสต์ญี่ปุ่น ซีดีสอนภาษาญี่ปุ่น พูดตามและเลียนเสียง
ประโยคนั้นๆ ขณะที่คุณกำลังขับรถไปด้วย ปากก็ให้ขยับตามไปด้วย

ที่คุณทำ: แชทคุยกับเพื่อเรื่องสัปเพเหระไปเรื่อยเปื่อย (ซึ่งก็… ปกติอะนะ)
ที่คุณควรทำ: ลากเพื่อนคู่หูฝึกภาษาของคุณ เข้าไปเจอกันในสไกป์ และพูดคุยกันเป็น ภาษาญี่ปุ่นเท่าที่คุณจะพูดได้

ที่คุณทำ: เล่นเกมบนเฟซบุค แคนดี้ครัช, แคลช ออฟ แคลน หรือนั่งเลื่อนเฟซบุคกลับไปกลับมา
ที่คุณควรทำ: ใช้ทุกวินาทีที่หมดไปกับสิ่งเหล่านั้น ไปนั่งทบทวนศัพท์ในแอป JLPT Study
ที่คุณทำ: กดปุ่มเลื่อนตั้งปลุกนับครั้งไม่ถ้วน และก็นอนดึกแทบทุกคืนเพราะนั่งดูรีรันของรายการ สมัย 90

ที่คุณควรทำ: ทำทางจากที่นอนไปที่โต๊ะทำงานของคุณ โดยให้อ่านศัพท์บทที่ 1-5 ก่อน
กาแฟแก้วแรกของคุณ พอตกกลางคืน ใช้เวลา 20 นาทีก่อนเข้านอน ปิดคอมพ์ซะแล้ว ทบทวนบทเรียนที่ 1-5 ก่อนเข้านอน
คุณทำได้แน่นอน และคุณก็รุ้ใจตัวเองด้วยว่าอยากทำมัน
ที่คุณต้องทำก็คือ หาความมุ่งมั่นอันแรงกล้า และความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมในตัวคุณให้เจอ (มันมักจะอยู่ระหว่าง ความขี้เกียจ และนิสัยผัดวันประกันพรุ่งของคุณนั่นแหละ) และยึดมันไว้ให้มั่นเหนือหัวของตน
พยายามพูดกับหนังเรียนของคุณ พูดทวนไปกับมัน คิดถึงว่าจะตื่นเต้นขนาดไหนถ้าเราสามารถเอาชนะคำศัพท์ใน สปีด มาสเตอร์ได้ พยายามสร้างบทสนทนาให้มันมีพลัง ตลกขำขันกับเพื่อนคู่หูติวภาษาของคุณเข้าไว้

-おはようございます!= อรุณสวัสดิ์!
-おはよう!元気ですか?(おはよう!げんきですか?) = ว่าไง! สบายดีนะ?
-元気です!それは何ですか?(げんきです!それはなんですか?) ฉันสบายดี นั่นอะไรน่ะ?
-これ?これはオレンジジュースです!(これ?これはオレンジジュースです!) = อ๋อ นี่เหรอ? น้ำส้มน่ะ
-いいですね! = เยี่ยมเลย!

ถึงมันจะเป็นบทสนทนาที่ค่อนข้างตื้นเขินสักหน่อย คุณเข้าใจทั้งหมดนี่มั้ย? ญี่ปุ่นล้วนเนี่ย? เยี่ยม! ถ้ายัง ไปหยิบตำรามาแล้วเริ่มซะ!!!
หมดข้ออ้างแล้วนะ
เปิดเคล็ดลับเหล่านี้ไปพร้อมกันระหว่างที่คุณเรียน แล้วคุณจะสามารถว่ายท่าผีเสื้อในกระแสน้ำที่นำพาไปสู่หนทางในการพูดญี่ปุ่นได้อย่างคล่องแคล่ว วิ่งไปสู่หนทางแห่งดวงอาทิตย์ขึ้นเสีย! (หมายถึงธงประจำชาติญี่ปุ่นน่ะ)

6 เคล็ดลับในการเรียนภาษาญี่ปุ่น

ถ้าคุณชื่นชอบ หลงรักในประเทศญี่ปุ่นแล้ว มีโอกาสที่คุณจะหลงรัก และสื่อสารเป็นภาษาญี่ปุ่นได้อย่างคล่องแคล่วอีกเช่นกัน ลองนึกถึงเพื่อนที่เราจะได้ทำความรู้จักสิ ทั้งอนิเมะ มังงะ และวิดิโอเกม คุณจะสนุกกับสิ่งเหล่านี้ได้อย่างเต็มอรรถรส ตามที่ผู้สร้างตั้งใจไว้ให้เป็นอย่างนั้น

แต่หนทางในการชำนาญภาษาญี่ปุ่นนั้นช่างยาวไกล ยากลำบาก และเต็มไปด้วยหลุมพราง ภาษาญี่ปุ่นจัดอยู่ในภาษาประเภทที่ 5 ซึ่งหมายความว่าต้องใช้เวลาอย่างน้อย 88 สัปดาห์ หรือ 2,200 ชั่วโมงในการเรียนให้เข้าใจได้ในระดับหนึ่ง สำหรับชาวต่างชาติที่พูดอังกฤษ เมื่อมาเทียบกันแล้ว ภาษาฝรั่งเศส ซึ่งถูกจัดให้อยู่ในภาษาประเภทที่ 1 ยังใช้เวลาแค่ 24 สัปดาห์ หรือ 600 ชั่วโมงในการเรียนให้เข้าใจในระดับหนึ่งเท่านั้น ภาษาญี่ปุ่นมีตัวอักษรแยกออกมาอีก 2 ตัวอักษร พร้อมกันกับตัวอักษรโจยุคันจิทั้งหมด 1,945 ตัว (ที่ใช้กันเป็นประจำ) หรือตัวกอักษรภาษาจีน ส่วนมากมักจะมีการออกเสียงที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละตัวอีกด้วย สรุปสั้นๆ การเรียนภาษาญี่ปุ่นถือเป็นเรื่องที่น่าหวาดหวั่นกับผู้ที่พูดภาษาอังกฤษเป็นหลักอยู่พอสมควร
แต่ไม่ใช่ว่ามันมีอะไรให้ต้องเรียนเยอะแยะมากมายไปหมด ก็เลยพลอยให้คุณไม่อยากลองศึกษาพวกมันซะงั้นนะ มันยังคุ้มค่าที่จะลองเรียนดู แม้ว่าคุณจะไม่มีพรสวรรค์ในเรื่องภาษาเลย ไม่ได้โตมากับสภาพแวดล้อมที่อยู่ท่ามกลางเจ้าของภาษานั้นๆ หรือคุณไม่ได้ลงเรียนวิชาภาษาญี่ปุ่นก็ตามเถอะ! ใครๆก็สามารถเรียนอ่านและเขียนภาษาญี่ปุ่นได้ทั้งนั้นแหละ ถ้าคุณทุ่มเทให้กับมัน
ไหนๆคุณก็มาอยู่ ณ เว็บไซต์สอนภาษญี่ปุ่นของ RocketNews24 แล้วเนี่ย เราก็อยากจะเผยเคล็ดลับสักเล็กน้อยให้กับผู้ที่มองหาแรงส่งในการเรียนภาษาญี่ปุ่นกันอยู่ เอาล่ะ มาเริ่มกันเลยเถอะ!!! (ข้อควรจำ: เคล็ดลับต่อไปนี้เป็นเพียงเคล็ดลับสำหรับผู้ที่เพิ่งจะเริ่มต้นเรียน เพื่อช่วยพวกเขาเรียนภาษาญี่ปุ่นได้ง่ายขึ้นมาบ้าง ถ้าคุณมองหาการเรียนการสอนที่ตอบโจทย์คุณมากกว่านี้ โพสต์นี้ก็มีให้คุณหมดละ)

เคล็ดลับที่ 1 – ดื่มด่ำกับมัน
ถ้าคุณอยากเรียนภาษาญี่ปุ่นอย่างจริงจังแล้วล่ะก็ คุณต้องสละเวลาให้กับมันหลายชั่วโมงด้วยกัน แต่การเปิดหนังสืออ่านไปมาแค่นั้น ไม่ได้ช่วยให้คุณพูดได้คล่องปรื๋อเลยหรอกนะ หรือฟังคนญี่ปุ่นพูดได้ออกทุกคำภายในเวลาไม่กี่อึดใจ แต่มันก็เป็นไปได้นะสำหรับผู้ที่สอบผ่านระดับสูงสุดของ JLPT (การสอบวัดระดับความรู้ภาษาญี่ปุ่น) โดยที่พูดไม่ได้สักคำเดียวก็มี ถึงแม้มันจะช่วยบ้างก็เถอะ แต่การสอบผ่านระดับสูงๆก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะพูดได้อย่างเจ้าของภาษาเสียทีเดียว
ในชีวิตจริง การใช้ภาษาอย่างคล่องแคล่วนั้นต้องมาจากการนำไปฝึกใช้จริง ซึ่งมันก็ต้องการความทุ่มเท จมอยู่กับมันอย่างมาก แต่โชคดี ที่ตอนนี้มีหลากหลายช่องทางในการเอาตัวคุณเองเข้าไปอยู่กับภาษาญี่ปุ่นมากขึ้น ไม่ว่าคุณจะอาศัยอยู่ที่ใดก็ตาม (ตราบเท่าที่มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ซึ่งมันก็ครอบคลุมทุกอย่างในชีวิตประจำวันของทุกคนอยู่แล้ว) ชอบเล่นเกมมั้ย? เยี่ยม! ก็เล่นเกมภาษาญี่ปุ่นไปเลย ชอบดูอนิเมะมั้ย? เลิกดูพากย์อังกฤษซะ แล้วเปิดเสียงญี่ปุ่น บรรยายอังกฤษใต้ภาพแทน ชอบอ่านมังงะมั้ย? ลองหาภาษาญี่ปุ่นมาลองอ่านดู อยากได้เพลงประกอบสักเพลงมั้ย? เพลงแนว เจ-ป๊อปล่ะเป็นไง? การนำองค์ประกอบต่างๆที่เกี่ยวกับภาษาญี่ปุ่นเข้ามาในชีวิตประจำวันของคุณ จะช่วยให้คุณอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ให้คุณจมเข้าไปกับภาษาญี่ปุ่นได้ทุกที่ ทุกเวลา แถมยังได้ความสนุกเป็นผลพลอยได้อีกด้วยนะ

เคล็ดลับที่ 2 – จัดโครงสร้างการศึกษาของคุณ
ผู้คนที่เรียนภาษาญี่ปุ่นด้วยตนเองมีอยู่ทั่วไป แต่บางครั้ง การศึกษาด้วยตนเองอาจก่อให้เกิดพฤติกรรมการเรียนที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ขึ้นได้ การอ่านมังงะและดูอนิเมะมากๆบ่อยๆ ก็ช่วยให้คุณฟังออกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถ้าคุณเป็นผู้ฟังอย่างเดียวล่ะก็นะ แต่เอาเข้าจริงแล้ว ไม่มีอะไรมาทดแทนการเรียนแบบโครงสร้างภาษาจริงๆได้หรอก สิ่งที่ดีที่สุดในการเรียนภาษาญี่ปุ่น ก็คือไปเรียนในมหาวิทยาลัย หรือโรงเรียนสอนภาษาที่ดีๆหน่อย แต่ถ้าคุณไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว ลองดูหลักสูตรการเรียนการสอนแบบสั้นหรือไม่ก็มองหาติวเตอร์ และถ้ายังไม่มีทางเลือกอีก หรือไม่สะดวกลงเรียนภาษาญี่ปุ่นที่ไหนๆเลย ลองหาหนังสือมานั่งอ่าน นั่งเรียนด้วยตนเอง ฝึกฝนไปเรื่อยๆผ่านหนังสือเตรียมสอบ JLPT ก็ถือเป็นวิธีที่ดีเยี่ยมในการเรียนในสิ่งที่คุณควรรู้ อันที่จริง การเตรียมและการไปสอบ JLPT ในแต่ละระดับถือเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมสำหรับนักเรียนที่เรียนรู้ด้วยตนเองเพื่อเพิ่มระดับความสามารถ และไปให้ถึงเป้าหมายการศึกษาที่ตนได้วางไว้
เอาข้อ 1 กับข้อ 2 มารวมกัน น่าจะสร้างพื้นฐานในการเรียนภาษาญี่ปุ่นให้ดีขึ้น การเรียนแต่ในหนังสืออย่างเดียวจะทำให้คุณไปได้ไกล แต่ไม่มีโอกาสเอามาใช้ในชีวิตจริง ในขณะที่การนำภาษาญี่ปุ่นเข้ามาในชีวิตประจำวันเพียงอย่างเดียวก็ไม่ได้ทำให้พื้นฐานของคุณแน่นแต่อย่างใด

เคล็ดลับที่ 3 – เพิ่มคลังคำศัพท์โดยใช้วิธีทางธรรมชาติ
แทนที่จะเอาแต่ท่องจำศัพท์แห้งแล้งๆ มีทริคอยู่ก็คือให้คุณซื้อสมุดโน้ตเกๆมาหนึ่งเล่ม และจดคำศัพท์ญี่ปุ่นใหม่ๆลงไปทุกครั้งที่คุณพบเจอระหว่างที่คุณทำตามเคล็ดลับข้อที่ 1 ของเรา ทำแบบนี้จะช่วยให้สมองเราสามารถเชื่อมโยงคำศัพท์ เข้ากับสถานการณ์ที่เหมาะกับคำศัพท์นั้นๆได้อย่างเหมาะสม ฉันเริ่มเรียนภาษาญี่ปุ่นเมื่อประมาณเก้าปีก่อนโดยใช้วิธีข้างต้นนี้ สมุดโน้ตฉันเต็มไปด้วยคำศัพท์นับไม่ถ้วนเลยทีเดียว และฉันยังใช้วิธีนี้มาจนถึงปัจจุบันอีกด้วย

เคล็ดลับที่ 4 – เรียนรู้รูปแบบของมัน
มีสิ่งหนึ่งที่คุณอาจไม่ทันสังเกตในช่วงเริ่มต้นการเรียนของคุณว่า ภาษาญี่ปุ่นจะดำเนินตามรูปแบบประโยคหลากหลายแบบด้วยกัน เช่นเดียวกับประโยคที่จะใช้ได้ ต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์อย่างประโยค “อิทาดาคิมัส” “โอสซุการเระซามะ” และอื่นๆอีกมากมาย ที่มันไม่มีให้เห็นในภาษาอังกฤษ คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะพูด สื่อสารสิ่งต่างๆออกมาในรูปแบบที่ภาษาอังกฤษไม่มี หลุมกับดักอันใหญ่โตที่เรา ชาวต่างชาติที่เรียนภาษาญี่ปุ่นจะต้องเผชิญนั่นก็คือ การจำคำศัพท์ทั้งหมดให้ได้ เพื่อนำไปใช้สื่อสารกับคนญี่ปุ่น ในแบบที่สื่อสารกับคนอังกฤษ ในความเป็นจริงแล้ว ภาษาญี่ปุ่นกับภาษาอังกฤษนั้นแตกต่างกันมาก และการสลับตำแหน่งคำในประโยคเพียงนิดเดียว ก็จะทำให้การสนทนาของคุณเหมือนเอาประโยคนั้นไปวางแล้วให้กูเกิ้ล ทรานสเลทแปลออกมายังไงยังงั้น การจำรูปแบบประโยคที่มากมายมหาศาล พร้อมทั้งต้องปรับเปลี่ยนให้เข้ากับบทสนทนาที่คุณกำลังพูดกันอยู่นั้น จะช่วยให้ภาษาญี่ปุ่นของคุณก้าวหน้าไปไกลกว่าการที่นำแต่ละคำมาแปลงเป็นภาษาอังกฤษ แล้วค่อยพูดออกมาเป็นภาษาญี่ปุ่นอีกที

เคล็ดลับที่ 5 – ทำพลาดเข้าไว้
ความสมบูรณ์แบบ คือศัตรูของความดี และการกลัวที่จะทำผิดพลาดเมื่อพูดถึงการเรียนภาษาอาจเป็นอุปสรรคต่อการก้าวหน้าของคุณเอง สมองของเรามักจะจดจำเรื่องร้ายๆได้ชัดเจนแจ่มแจ้งกว่าเรื่องดีๆ (เฮ้อออ) ฉะนั้น การทำให้ตัวเองอับอายระหว่างบทสนทนากับคนญี่ปุ่นจึงเป็นวิธ๊ที่ยอดเยี่ยม เพื่อให้แน่ใจว่าคุณจะไม่ทำอย่างนั้นอีกเป็นครั้งที่สอง และถ้าคุณไม่เคยทำผิดพลาดแม้แต่ครั้งเดียว นั่นหมายความว่า คุณยังรู้ไม่มากพอ ผู้คนที่เริ่มพูดคุยต่อหน้า ต่อตากับชาวญี่ปุ่นในครั้งแรกนั้นล้วนพูดผิดกันเป็นแถว แต่พวกเขาก็พยายามสุดความสามารถเพื่อให้เขาสามารถพูดได้ดีขึ้นในอนาคต การคิดเช่นนี้ช่วยให้พวกเขาพูดได้ดีขึ้นจริง ดีขึ้นกว่าผู้เอาแต่อ่านตำรา และลังเลที่จะพูดอะไรออกไปที่ไม่มีในหนังสือ

เคล็ดลับที่ 6 – นอบน้อมเข้าไว้
ภาษาญี่ปุ่นนั้นช่างเป็นภาษาที่สวยงาม เต็มไปด้วยประโยคที่พลิกแพลงและตัวอักษรที่เขียนกันได้ลายมือไก่เขี่ย สิ่งเหล่านี้มันมี “ความเจ๋ง” ในตัวของมันที่จะทำให้คนที่อ่านออก เขียนได้นั้นไปโม้ให้คนอื่นฟังได้ว่า ฉันอ่านญี่ปุ่นออกนะ ฉันเขียนตัวอักษรญี่ปุ่นได้นะ แต่การถ่อมตนถือเป็นเรื่องสำคัญในการเรียนภาษาใดก็ตาม แต่การคิดแค่ว่า เรียนแค่พออ่านออก เขียนได้ก็พอแล้ว แล้วก็ไม่ได้ศึกษามันต่ออีกเลย แน่นอน! คุณสามารถทำงั้นได้ มันเป็นทางเลือกที่คุณเลือกเองได้ว่าจะเรียนภาษาญี่ปุ่นไปถึงไหน อีกทั้งผู้คนต่างก็มีเป้าหมายในการเรียนภาษาอื่นที่แตกต่างกันออกไปอยู่แล้วด้วย คนส่วนใหญ่ที่ลงเรียนภาษาญี่ปุ่นเป็นภาษาที่สองที่โรงเรียน ในหมู่คนเหล่านี้ จะต้องมีอย่างน้อยสักคนหนึ่งที่พยายามจะบ่อนทำลายความเชื่อมั่นของผู้อื่นโดยการพูดจาเย้ยหยันใส่อย่างแน่นอน ทางที่ดีที่สุดคือยึดอยู่กับความสามารถของตน และอย่าไปใส่ใจการกระทำของคนรอบข้างคุณ เรียนกับเพื่อนๆไปด้วยกัน ทำผิดพลาดไปด้วยกัน เพิ่มพูนความรู้ให้มากๆและเปิดกว้างต่อคำวิจารณ์ต่างๆที่คุณต้องพบเจอ

10 เคล็ดลับในการเรียนภาษาญี่ปุ่น ฉบับเข้มข้น

ตามข้อมูลของสถาบันการต่างประเทศ (FSI) เผยว่า ภาษาญี่ปุ่นติดอันดับหนึ่งในห้าภาษาที่ยากที่สุดในการเรียนของชาวต่างประเทศที่พูดภาษาอังกฤษ ซึ่งประกอบไปด้วย ภาษาอารบิก ภาษาเกาหลี ภาษาจีนกลางและภาษาจีนกวางตุ้ง

ภาษาญี่ปุ่นใช้โครงสร้างประโยคแบบ ปกก (ประธาน กรรม กริยา) ขณะที่ของภาษาอังกฤษจะเป็น ปกก (ประธาน กริยา กรรม) แทน ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อลองเอาภาษาญี่ปุ่นมาแปลเป็นภาษาอังกฤษแบบตรงๆเลย มันจะฟังดูเหมือนคุณกำลังพูดแบบอาจารย์โยดา ยังไงยังงั้น

ในภาษาญี่ปุ่นจะมีรูปแบบการเขียนแตกออกเป็นสามรูปแบบ ซึ่งแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงเมื่อเทียบกับภาษาอังกฤษ หรือภาษาโรแมนติก โดยจะประกอบไปด้วย ฮิรางานะ คาตาคานะ และคันจิ และแต่ละแบบ ก็จะจำแนกออกไปตามความสุภาพ ตามทางการ ไม่เป็นทางการต่อไปอีก อีกทั้งภาษาญี่ปุ่นยังเป็นภาษาที่มีบริบทสูง ประกอบสร้างขึ้นโดยความหมายโดยนัย แทนที่จะสื่อสารออกไปตรงๆ

ฟังดูน่าสนุกเนอะ? เรามาเริ่มต้นเรียนภาษาญี่ปุ่นด้วยเคล็ดลับในการเรียนตามนี้เลยดีกว่า

1.อย่าศึกษาพื้นฐานการเขียนภาษาญี่ปุ่นด้วยตนเอง
แม้ว่ามันจะง่ายกว่า ถ้าเรียนรู้พยางค์ต่างๆในฮิรางานะและคาตาคานะด้วยตนเอง แต่พวกมือใหม่อาจจะละเลย หลงลืมลำดับจังหวะอันสำคัญในการเรียนภาษาได้ ในภาษาอังกฤษ ถ้าคุณเขียนตัวหนังสือแปลกๆมา มันก็ยังพอรับได้อยู่ แต่ในภาษาญี่ปุ่น มันจะบ่งบอกให้รู้ได้เลยว่า คุณไม่สนใจที่จะเรียนการเขียนมันอย่างถูกต้อง ซึ่งแปลได้ว่า คุณขี้เกียจนั่นเอง การขี้เกียจอาจเป็นบ่อเกิดทัศนคติที่ไม่ดีในการเรียนภาษาญี่ปุ่นได้

อีกทั้งการเขียนตัวหนังแบบปกติ กับแบบลงน้ำหนักเยอะๆแล้วตวัดขึ้น ก็ยังมีความหมายที่แตกต่างกัน ลำดับจังหวะในการเขียน จึงเป็นสิ่งสำคัญในการปูพื้นฐานในเรื่องของตัวคันจิ ฉะนั้น อย่ามองข้ามมัน!

2.อย่าข้ามจุดที่ยากไป
มันเป็นเรื่องง่ายที่จะคิดว่า “เดี๋ยวฉันค่อยกลับมาทวนบทที่ข้ามไปทีหลังละกัน” แต่ในความเป็นจริงแล้ว คุณทำอย่างนั้นไม่ได้!!! ในบทแรกๆจะเกี่ยวกับเรื่องชื่อครอบครัว นามสกุล การบอกเวลาและเครื่องหมายต่างๆ ในหนังสือสอนบทสนทนาขั้นพื้นฐานมักจะเริ่มจากเรื่องพวกนี้ก่อนเป็นเรื่องแรกๆ และเรื่องเครื่องหมายต่างๆใช้เวลาในการเรียนให้เข้าใจได้นานกว่าที่คุณคิด เรียนรู้การผันคำคุณศัพท์ และห้ามไปบทต่อไปจนกว่าคุณจะหลับไป ผันไปได้

3.ลงทุนกับการศึกษาสักหน่อย
ถ้าคุณลงเรียนภาษาญี่ปุ่นที่โรงเรียน คุณจะได้รับตำราเรียนมาเลย แต่ถ้าเขาจัดหาตำราแย่ๆให้กับคุณแล้ว มันอาจทำลายประสบการณ์ในการเรียนของคุณได้เลย ครั้งหนึ่งฉันเคยเรียนกับครูสอนภาษาญี่ปุ่นท่านหนึ่ง เขาหยุดและเขียนข้อความสองสามประโยคในหนังสือเรียน “นากามะ” ของพวกเราว่า “มันตกยุคไปแล้ว” มันจะไปได้อะไรขึ้นมา ถ้าหากเอาหนังสือเรียนที่เก่าตกยุค ไม่อัพเดทแบบนี้มาสอนมือใหม่หัดเรียนภาษาญี่ปุ่น?

โชคดีนะ ที่คุณยังมีทางเลือกในการเลือกหนังอยู่ “เก็งคิ” และ “ภาษาญี่ปุ่นเพื่อคนงานยุ่ง” สองเล่มนี้ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดีในการเรียนภาษาญี่ปุ่นของคุณ ในความจริงแล้ว ฉันพบว่า พวกตำรา หนังสือเรียนต่างๆนี่เป็นเพียงแค่ไกด์ไลน์ แนะนำเบื้องต้นเท่านั้น แต่ความหลากหลาย การพลิกแพลงของมันจะขึ้นอยู่กับแนวทางการเรียนของคุณเอง

ลงทุนกับพจนานุกรมภาษาญี่ปุ่นที่มีตัวอักษรคันจิด้วยจะดี ยิ่งมีฮิรางานะประกอบตัวคันจิแต่ละตัว พร้อมกับคำแปลประกอบแต่ละตัวด้วยจะดีมาก แล้วก็หาซื้อหนังสือ หลักไวยากรณ์ภาษาญี่ปุ่น ของบาร์รอนมาโดยด่วน แล้วค่อยซื้อพจนานุกรมคันจิ และการ์ดรวมศัพท์คันจิทีหลังเมื่อคุณเริ่มเรียนไปได้สักพักแล้ว ยังมีอีกหลายเล่มที่มีประโยชน์เยอะเลย เช่นหนังสือ รวมคำแสลงในภาษาญี่ปุ่น พจนานุกรมวัฒนธรรม และพจนานุกรมรวมวัฒนธรรมสมัยใหม่ก็น่าสนใจไม่ใช่น้อย

4.ดูการ์ตูนเยอะๆ ดูหนังเยอะๆ ดูละครเยอะๆ ฟัง/หัดร้องเพลงภาษาญี่ปุ่นเยอะๆ แต่ไม่ใช่ทำทั้งหมดนี่เพียงอย่างเดียว
ภาษาญี่ปุ่นเริ่มเป็นที่สนใจของวัยรุ่นในต่างแดนมากขึ้น ต้องขอขอบคุณการ์ตูน อนิเมะ หนังสือการ์ตูน มังงะ ด้วยนะ และเพลงร็อคญี่ปุ่นกับเพลงป๊อปก็ด้วย มีแฟนๆหลายคนอยากจะอ่านและเข้าใจเรื่องที่พวกเขาสนใจโดยที่ไม่ต้องรอคนนำเข้ามาแปล เพื่อพวกเขาจะได้แปลคำพูดในมังงะ หรือเนื้อเพลงได้คำต่อคำเลย

แม้ว่าวิธีนี้จะเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการเรียนรู้คำแสลงและรูปแบบไวยากรณ์ที่ยากท้าทาย แต่มันก็จะสอนให้คุณรู้แต่คำศัพท์ที่มันไร้ประโยชน์ นำไปใช้ในชีวิตประจำวันไม่ได้แทน คุณอาจจะพูดคำว่า จังหวะหัวใจ, เปี่ยมล้น, โอบกอด, หยาดน้ำตา, นิรันดิ์, ไม่อภัยโทษ และ หนังเรื่อง สวอลโล่เทลล์ บัตเตอร์ฟลาย ได้ แต่คุณจะพบกับปัญหาทันที ถ้าคุณพูดคำว่า ขั้นบันได, สนามบิน, สายรถไฟ, เลี้ยวซ้าย, เลี้ยวขวา และ ไปรษณีย์ ไม่ได้

5.ฝึกร้องเพลงญี่ปุ่นพร้อมดูเนื้อเพลงประกอบไปด้วย
การดูเนื้อเพลงประกอบจะช่วยให้คุณจดจำคาตาคานะ และคันจิได้ดี เพิ่มทักษะความไวในการอ่าน และแน่นอน สอนให้คุณรู้ด้วยว่า ภาษาญี่ปุ่นควรจะออกเสียงอย่างไร สิ่งนี้สำคัญมากนะ เพราะว่าในญี่ปุ่นเนี่ย คาราโอเกะ ถือเป็นกีฬานานาชาติอย่างไม่เป็นทางการเลยนะ คนญี่ปุ่นจะชอบมากเมื่อชาวต่างชาติร้องเพลงญี่ปุ่นได้ดัง ชัดถ้อยชัดคำ (ยิ่งเพลงเก่าเท่าไหร่ พวกเขาก็ยิ่งชอบมากเท่านั้น) ดังนั้น ไปฝึกมาแต่เนิ่นๆจะดีมาก แถมการไปร้องคาราโอเกะเป็นกลุ่มเป็นวิธีที่ดีในการได้เพื่อนใหม่ ซึ่งจะเกี่ยวเนื่องไปสู่ข้อต่อไป

6.หาคู่สนทนาที่เป็นมือใหม่กับคุณ
วิธีนี้ไม่จำเป็นต้องไปเสียเงินแพงๆ คนญี่ปุ่นชอบที่จะหาเพื่อนคุย โดยให้ช่วยสอนภาษาอังกฤษเป็นการแลกเปลี่ยนอยู่บ่อยครั้ง การฟังเพื่อนคุณพูดและลองฟังเสียงที่ตัวเองพูดจะช่วยผลักดันให้คุณออกเสียงได้อย่างถูกต้อง บอกเพื่อนของคุณให้คอยเตือนเวลาคุรออกเสียงผิด แล้วแก้ให้ถูกต้อง สิ่งที่จะได้ตอบแทนกลับมาจากการใช้วิธีนี้คือ มันจะช่วยให้คุณคิดแบบคนญี่ปุ่นได้มากขึ้น

บทสนทนาในหนังสือมันเดาทางง่าย ตรงไปตรงมา และว่ากันตามตรง ไม่มีใครอยากพูดแบบนั้นในชีวิตจริงหรอก การฝึกภาษาญี่ปุ่นด้วยตัวเอง ฝึกอยู่คนเดียว จะทำให้คุณไม่มีโอกาสที่จะฝึกพูดคุย สนทนากันเลย มีกลุ่มนัดพบกันเพื่พูดคุย แลกเปลี่ยนภาษาโดยเฉพาะด้วย ใน Meetup.com และคุณยังเช็คข้อมูล ตามกลุ่มสมาคมต่างๆเพื่อโอกาสต่างๆในการเรียนได้

meetup
https://www.meetup.com/

7.ระวังวิธีการเรียนภาษาแบบขลุกอยู่กับประเทศเจ้าของภาษานั้นๆ
การที่เราจมไปกับประเทศเจ้าของภาษา ถือเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการเรียนภาษาใดๆก็ตาม แต่นั่นเป็นวิธีขั้นสูง สำหรับนักเรียนที่เก่งภาษาญี่ปุ่นระดับสูงแล้ว ที่ต้องการเชื่อมช่องว่างระหว่างภาษาให้เกิดความคล่องมากขึ้น อย่างไรก็ตาม คุณยังสามารถเริ่มต้นได้ง่ายๆอยู่

ในสหรับอเมริกา จะมีโครงการอบรมแบบขลุกอยู่กับภาษานั้นๆ และรวมถึงค่ายฤดูร้อนสำหรับเด็กๆ รวมไปถึงนักศึกษามหาวิทยาลัยเช่นค่าย คอนคอร์เดีย แลงกวิตช์ แคมป์ แต่ดูให้ดีก่อนกระโจนเข้าไป มีหลากหลายโครงการในนั้นที่ไม่อนุญาตให้ผู้เข้าร่วมสื่อสารกันเป็นภาษาอังกฤษ และจะพยายามผลักดันให้คุณพูดญี่ปุ่น ไม่ว่าระดับทางภาษาญี่ปุ่นของคุณ อยู่ในระดับไหน ในบางครั้ง โครงการประเภทนี้จะชอบมองข้ามแนวคิดที่ผู้เรียนที่เป็นู้ใหญ่นั้น ได้ผ่านการทดสอบทางภาษามาแล้ว

คุณอาจลองถามตัวเองดูก่อนว่า “เราควรจะเรียนในหลักสูตรระดับอุดมศึกษา ที่การเรียนการสอนทั้งหมดเป็นภาษาญี่ปุ่น โดยที่เรายังไม่คล่องเลยดีมั้ย?” อย่าพยายามยัดเยียดตัวเองเข้าไปเรียนเพื่อที่จะตามระดับภาษาที่สูงกว่าให้ทันคนอื่น

8.เรียนรู้คำจำพวก ทัง ทวิสเตอร์ และคำประเภทเสียงประกอบฉาก
ไม่เพียงแต่การฝึกเล่น ทัง ทวิสเตอร์ จะช่วยให้คุณมองภาษาญี่ปุ่นในอีกแง่มุมหนึ่งแล้ว มันยังช่วยเริ่มต้นบทสนทนาได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย ต่างกับภาษาอังกฤษ ที่คำประเภทประกอบฉากจะไม่ค่อยมีให้เห็นในภาษาอังกฤษ เพราะคำพวกนี้จะเจอได้ตามหนังสือการ์ตูนเท่านั้น แต่กับภาษาญี่ปุ่น คำพวก เสียงประกอบฉากถือเป็นส่วนหนึ่งของบทสนทนาในชีวิตประจำวัน และทำให้คุณพูดได้เป็นธรรมชาติมากขึ้น หากคุณเรียนรู้มัน เปะโกะ เปะโกะ คือคำที่ในภาษาญี่ปุ่น ใช้อธิบายอาการท้องป่องขึ้น และลงท้ายว่า เดส (กริยาช่วยใน present simple) เปลี่ยนประโยคเป็น “ฉันหิว” คุณรู้มั้ยว่า มีตั้งสี่วิธีที่จะบรรยายเสียงของฝนในภาษาญี่ปุ่นน่ะ แถมมันยังมีแม้กระทั่งคำบรรยายความเงียบอีกด้วย

รู้ก็ดี ไม่รู้ก็ได้: “ลิ้นพันกัน” ในภาษาญี่ปุ่นจะพูดว่า ฮายากุจิ โคโตบะ ที่แปลว่า “คำพูดปากไว”

9.ตั้งมั่นอยู่กับรูปแบบโรมาจิเพียงรูปแบบเดียว
การเขียนภาษาญี่ปุ่นโดยใช้อักษรโรมันจะดูยุ่งยากสักหน่อย เปป็นเพราะมันไม่ได้มีแค่รูปแบบเดียวให้เขียน ตัวอย่างเช่น “ฟุ” (ふ) เขียนแทนเป็น “ฮุ” (ฮะ/ฮิ/ฟุ/เฮะ/โฮะ) ส่วนกริยาก็เช่น “ฟุกุ” สามารถเขียนเป็น “ฮุกุ” แทนได้ ออกเสียงแตกต่างกันเพียงเล็กน้อยมาก อย่าง “ทสึ” (つ) อาจเขียนเป็น “ทุ” ส่วนคำว่า “ชิ” (し) เป็น “ซิ” คำว่า “โด” (どう) เป็น “ดู” ได้ ฯลฯ ระมัดระวังเรื่องความไม่สอดคล้องกันของแต่รูปแบบด้วย พยายามเลือกมาใช้แค่หนึ่งรูปแบบที่คิดว่าเข้ากันได้กับคุณ

10.ไปเยือนญี่ปุ่น และไปเที่ยวนอกตัวเมืองซะ
ไม่ว่าคุณจะอ่านหนังสือกี่เล่ม ดูหนังไปกี่เรื่อง หรือพูดคุยกับผู้คนไปแล้วกี่คน คุณจะไม่มีทางได้สัมผัสกับ ญี่ปุ่นที่แท้จริง จนกว่าคุณจะไปเยือนที่นั่น ทักษะในการพูด และการอ่านของคุณจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก แค่อย่าลืมฝึกฝนต่อเวลาที่คุณกลับมาบ้านแล้ว แทนที่จะไปเที่ยวเฉยๆ ไม่ลองไปอยู่โฮมสเตย์ หรือไปเป็นอาสาสมัครที่ฟาร์มผ่าน WWOOF ดูล่ะ? ในเมืองใหญ่ๆมีแต่คนพูดภาษาอังกฤษ กับคนญี่ปุ่นที่อยากฝึกภาษาอังกฤษกับคุณเต็มไปหมด ดังนั้นไปให้ห่างจากสิ่งเหล่านี้จะเป็นการดีที่สุดที่จะเก็บเกี่ยวประเทศญี่ปุ่นให้มากที่สุดเท่าที่คุณจะทำได้ ในระยะเวลาสั้นๆ และอย่าลืม! ท่องคาราโอเกะใส่สมองของคุณเข้าไว้และออกไปสนุกกัน!!!

10 เคล็ดลับในการเรียนภาษาญี่ปุ่น

คำถามที่เป็นที่นิยมกันมากที่สุดเลยคือ “ฉันอยากเรียนภาษาญี่ปุ่น แต่ฉันจะเริ่มจากตรงไหนดีล่ะ?” คำถามต่อไปที่ถามกันมาเยอะไม่แพ้กันคือ “ฉันเจอกับตอใหญ่เบ้อเริ่มของการเรียนภาษาญี่ปุ่นเข้าแล้ว และดูเหมือนทักษะของฉันจะไม่พัฒนามากไปกว่านี้แล้วล่ะ ฉันควรทำอย่างไรดี ???”

เอาล่ะ ถ้าคุณเพิ่งเริ่มต้น หรือเริ่มไปได้หน่อยนึงแล้ว แล้วเกิดเจอทางตัน รายการพอดแคสต์นี้คือคำตอบสำหรับคุณ อาซุกะและผมระดมหัวคิดกันและเกิดแนวคิด 10 เคล็ดลับในการเรียนภาษาญี่ปุ่นแบบก้าวกระโดดและมีประสิทธิภาพ และผมก็อยากให้รายการพอดแคสต์นี้จี้จุดที่ว่า ไม่มีเวทมนตร์พิเศษอะไรใดๆบนโลกใบนี้ ที่จะทำให้คุณเก่งภาษาญี่ปุ่นภายในข้ามคืน

แทนที่จะทำอย่างนั้น รายการนี้จะสำรวจว่า “ทำไม” หรือ “แรงบันดาลใจ” อะไรที่ทำให้คุณอยากเรียนภาษาญี่ปุ่นมากกว่า หลังจากนั้น คุณก็จะมุ่งเป้าไปที่เป้าหมายเดียวของการเรียนภาษานี้ของคุณได้ พอเป็นอย่างนั้นแล้ว คุณจะได้ไม่ต้องมามัวเสียเวลาไปกับหัวเรื่องที่มีแต่น้ำ ไม่มีเนื้อและประหยัดเวลาของคุณไปได้เยอะทีเดียว
ฉะนั้นแล้ว ลองมาฟังพอดแคสต์นี้ดู และรายละเอียดทั้งหมดจะอยู่ด้านล่าง

บทพูดในพอดแคสต์
ภาษาญี่ปุ่น
การออกเสียง
คำแปลภาษาอังกฤษ
อาซุกะ:
おはようございます
โอฮาโยะ โกไซมัส
Good morning
อเล็กซ์:
おはようございます
โอฮาโยะ โกไซมัส
Good morning
อาซุกะ:
昨日のパーティー楽しかったですね
คีโน โนะ พาติ ทาโนะชิคัตตะ เดส เน่
Yesterday’s party was fun
อเล็กซ์:
楽しかったですね
ทาโนะชิคัตตะ เดส เน่
It was fun wasn’t it?
อาซุกะ:
またやりましょう
มาตะ ยาริมะโช
Let’s do it again
อเล็กซ์:
ぜひ!
เซย์ หิ
Absolutely!

10 เคล็ดลับในการเรียนภาษาญี่ปุ่น
เคล็ดลับที่ 1 – ตั้งเป้าหมายให้แน่ชัด

เคล็ดลับนี้ใครๆก็รู้กัน ก่อนที่คุณจะเริ่มทำอะไรสักอย่าง การตั้งเป้าหมายให้แน่ชัดก็เป็นสิ่งจำเป็น โดยเฉพาะเดดไลน์ จะช่วยให้คุณมุ่งมั่นกับการเรียนมากขึ้น ถ้าเป้าหมายคุณยังชัดไม่พอ ลองถามตัวเองดูว่า “คุณอยากเรียนภาษาญี่ปุ่นไปเพื่ออะไร?”

คุณอยากไปเที่ยวญี่ปุ่นในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ไหม? คุณอยากอ่านการ์ตูนมังงะแบบเข้าใจทุกตัวอักษรเลยไหม? หรือบางที คุณอยากจะเป็นนินจากันนะ การกำหนดเป้าหมายในการเรียนของคุณก็จะชัดขึ้น ขึ้นอยู่กับคำตอบของคำถามข้างต้น

สิ่งเหล่านั้นอาจเป็นเรื่องที่ใครๆก็อยากเป็นกัน แต่มันก็ยังน่ากล่าวถึงอยู่ดี แต่ยังมีอีกหนึ่งเหตุผลที่คุณควรจะมีเป้าหมายที่ชัดเจนอยู่อีกหนึ่งอย่างที่บางครั้งผู้คนอาจจะหลงลืมมันไป

และนั่นก็คือ การตั้งเป้าหมายให้ชัดเจนเข้าไว้จะช่วยให้คุณไม่ต้องไปเสียเวลาเรียนในเรื่องที่คุณไม่จำเป็นต้องรู้ ถ้าเป้าหมายของคุณคือการได้ไปเที่ยวญี่ปุ่นในวันหยุดสักอาทิตย์หนึ่ง อย่างนั้นคุณก็แค่เรียนรู้ประโยคพื้นฐานๆสักสามสี่ประโยคไว้สำหรับจองตั๋ว ถามทางหรือตอนจับจ่ายใช้สอยก็พอแล้ว คุณไม่จำเป็นต้องไปนั่งจำ นั่งเรียนตัวคันจิที่มีกว่า 2,500 ตัวจากตำราเก่าคร่ำครึนั่นเลย

เอาล่ะ คุณอยากเรียนภาษาญี่ปุ่นไปเพื่ออะไร? ลองคิดคำตอบและทิ้งไว้ที่กล่องข้อคิดเห็นด้านล่างได้เลย

ไปเคล็ดลับต่อไปเลยดีกว่า

เคล็ดลับที่ 2 – เรียนรู้การทักทายในชีวิตประจำวัน
สำหรับผู้ที่อยากไปเที่ยวญี่ปุ่น ไปทำงานที่ญี่ปุ่นและสามารถสนทนาภาษาญี่ปุ่นได้นั้น การเรียนบทพูดที่จำเป็นในชีวิตประจำวันถือเป็นการเริ่มต้นที่ดีมาก คุณควรรู้การทักทายที่แตกต่างกันไปตามเวลา การถามคำถามผู้คนและการพูดขอร้องและขอบคุณ
ตัวอย่างเช่น:

おはようございます – โอฮาโยะ โกไซมัส – อรุณสวัสดิ์
こんにちは – คนนิจิวะ – สวัสดี (ใช้ระหว่างวัน)
こんばんは – คมบังวะ – สายัณสวัสดิ์
お元気ですか – โอเก็งคิ เดส ก๊ะ – คุณสบายดีไหม?
元気です – ฉันสบายดี
お願いします – โอเนะไก ชิมัส – ได้ไหมครับ/ค่ะ (คุณช่วยอะไรฉันหน่อยได้ไหมครับ/ค่ะ?)
ありがとうございます – อาริกาโตะ โกไซมัส – ขอบคุณครับ/ค่ะ
どういたしまして – โด อิทาชิ มาชิเต – ไม่เป็นไรครับ/ค่ะ

เคล็ดลับที่ 3 – เรียนรู้ประโยคที่แปลออกมาเป็นภาษาอังกฤษได้ค่อนข้างยาก
หลังจากเรียนรู้พื้นฐานการกล่าวทักทายในชีวิตประจำวันไปแล้ว คุณก็ควรเรียนรู้ประโยคที่แปลเป็นภาษาอังกฤษได้ค่อนข้างยากกันสักหน่อย กล่าวอีกนัยหนึ่ง เรียนรู้ประโยคที่จะพาคุณให้ลึกลงไปสู่วัฒนธรรมญี่ปุ่นให้มากขึ้น นี่ยังช่วยให้คุณหยุดการแปลงคำจากภาษาแม่ของคุณ ไปเป็นภาษาญี่ปุ่นในหัวได้ดี ซึ่งมันเสียเวลาและทำให้คุณดูไม่เป็นธรรมชาติ นี่ตัวอย่างเล็กๆน้อยๆ

お先に失礼します – โอซากิ นิ ชิซึเรย์ ชิมัตสุ
แปลได้ประมาณว่า “ขอตัวก่อนนะ” คุณพูดประโยคนี้ก็ต่อเมื่อคุณออกจากที่ทำงานเป็นคนแรกหรืออกจากห้องในระหว่างการประชุม
お疲れ様です – โอตสุกาเระ ซามะ
แปลได้ประมาณว่า “เหนื่อหน่อยนะ” ใช้กันในหลากหลายสถานการณ์ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ความหมายของมันจะประมาณว่า เยี่ยมมาก ทำได้ดี คุณจะใช้ประโยคนี้เมื่อคุณต้องการจะแสดงความยินดีใครสักคน หรือขอบคุณใครสักคนหลังจากที่คนๆนั้น ทุ่มเทแรงกายแรงใจให้กับการทำงานบางอย่าง มันยังสามาถใช้ในกรณีที่ใครบางคนทำงานเสร็จแล้ว และเตรียมจะกลับบ้านได้อีกด้วย
คุณจะได้ยินสองประโยคสุดท้ายนี้พร้อมกัน แบบนี้
A: お先に失礼します – เอาล่ะ ขอตัวกลับก่อนนะ (ขออนุญาตก่อนกลับ)
B: お疲れ様です – บาย (เยี่ยมเลย)

これからよろしくお願いします – โคเร คารา โยโรชิกุ โอเนไกชิมัส
คำว่า “โยโรชิกุ” หมายความว่าดูแลฉันให้ดีหน่อยนะ ดังนั้น ประโยคนี้ทั้งประโยคอาจแปลได้ว่า “ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วย” หรือ “หวังว่าเราจะได้ร่วมงานกันในอนาคตนะ” นิยมใช้ปิดท้ายประโยคแนะนำตัว
いただきます – อิทาดาคิมัส
ความหมายที่ใกล้เคียงที่สุดคงเป็น “เจริญอาหารนะ” โดยปกติ คุณจะพูดคำนี้ก่อนรับประทานอาหารที่บ้าน หรือมีคนทำให้คุณทาน อิทาดาคิมัส แปลว่า “รับแล้วนะครับ” มันสามารถใช้พูดกับอย่างอื่นก็ได้ที่ไม่ใช่เกี่ยวกับอาหาร แต่พนัน 9 เต็ม 10 ได้เลยว่า คุณจะได้ยินคนพูดคำนี้ก่อนรับประทานอาหารทุกครั้ง
ごちそうさまです – โกจิโสะ ซามะ เดส
แปลได้ประมาณว่า “อร่อยมากเลย” ประโยคนี้คุณพูดหลังจากรับประทานอาหารเสร็จแล้ว และเพื่อแสดงคำขอบคุณแก่ผู้ที่ทำอาหารให้คุณทาน
ประโยคข้างต้นทั้งหมดนี้จะสอนให้คุณรู้จัก เข้าใจถึงวัฒนธรรมอันมีค่าของญี่ปุ่นและให้คุณได้ลิ้มลองวิถีที่คนญี่ปุ่นทักทายซึ่งกันและกัน นี่ยังไม่หมดนะแต่ก็ถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีกับประโยคที่เราคัดมาวันนี้

เคล็ดลับที่ 4 – แนวทางการพูดขั้นพื้นฐาน
ถ้าคุณซึมซับบทเรียนที่กล่าวไปในวันนี้ได้เพียงอย่างเดียว ลองนี่ดู ซ้อม ซ้อม และซ้อมหลักการพูดอย่างง่ายให้เข้าใจ วิธีนี้เพียงวิธีเดียว อาจเป็นวิธีที่ผมใช้ฝึกพูดภาษาญี่ปุ่นให้คล่องและเกิดประสิทธิภาพมากที่สุดก็เป็นได้ มันอาจจะไม่ได้เป็นอะไรใหม่ แต่มันก็ได้ผลอยู่นะ แค่คุณลองทำมันดู
มันง่ายแสนง่าย แค่เลือกประโยคมาหนึ่งประโยค แล้วซ้อมพูดซ้ำไปซ้ำมา ซ้ำไปซ้ำมาพร้อมทั้งเปลี่ยนคำบางคำในประโยคที่พูดไปด้วยทุกครั้ง ด้วยวิธีนี้ คุณจะพูดประโยคนั้นๆได้โดยไม่ต้องหยุดคิดเลย และยังช่วยขยายคลังคำศัพท์ให้คุณในเวลาเดียวกันด้วย
เพื่อเป็นตัวอย่าง ลองพูดคำว่า “…อยู่ที่ไหน” กลับไปกลับมาเป็นภาษาญี่ปุ่น ซึ่งพูดว่า “…はどこですか” (…วา โดโก๊ะ เดส ก๊ะ)
ทีนี้ ลองพูดซ้ำไปมาพร้อมเปลี่ยนคำในประโยคด้วยทุกครั้ง
銀行はどこですか? กิงโกะ วา โดโก๊ะ เดส ก๊ะ – ธนาคารอยู่ที่ไหน?
郵便局はどこですか? ยูบิงเคียวคุ วา โดโก๊ะ เดส ก๊ะ – ที่ทำการไปรษณีย์อยู่ที่ไหน?
駅はどこですか? เอกิ วา โดโก๊ะ เดส ก๊ะ – สถานีรถไฟอยู่ที่ไหน?
コンビニはどこですか? คมบินิ วา โดโก๊ะ เดส ก๊ะ – ร้านสะดวกซื้ออยู่ที่ไหน?
ガンダムはどこですか? กังดามุ วา โดโก๊ะ เดสก๊ะ – กันดัมอยู่ที่ไหน?
นั่นล่ะ คุณต้องฝึกมัน! คุณสามารถพูดประโยคพวกนี้ซ้ำไปซ้ำมาได้ในตำราเรียนที่คุณกำลังเรียนอยู่ ในหนังสือการ์ตูนมังงะ หรือลงเรียนภาษาญี่ปุ่นพอดแคสต์ ที่ซึ่งคุณจะเจอพอดแคสต์ของพวกเราเอง

เคล็ดลับที่ 5 – รู้จักคำคุณศัพท์ในภาษาญี่ปุ่น
มีอีกทางหนึ่งที่จะทำให้คุณเริ่มบทสนทนาได้อย่างเป็นธรรมชาติและเร็วขึ้น คือการเรียนรู้คำคุณศัพท์ในภาษาญี่ปุ่น ทำไมน่ะเหรอ? ภาษาญี่ปุ่นส่วนใหญ่มักจะลดรูปประธานในประโยคลงไง ดังนั้น แม้คุณจะพูดว่า 今日は暑いですね วันนี้ร้อนจังเลยนะ คุณอาจจะย่อ เหลือแค่ 暑いですね ร้อนจังเลยนะ หรือเหลือแค่ 暑い!ร้อน!!! ก็ย่อมได้ ดังนั้น ด้วยวิธีเรียนรู้คำคุณศัพท์นี้ คุณจะสามารถพูดได้สั้นลง แต่ใจความยังคงเดิม
นี่เป็นเพราะภาษาญี่ปุ่นเป็นภาษาที่มีบริบททางภาษาที่สูง ถ้าคุณเอามาเทียบกับภาษาอังกฤษ ซึ่งมีบริบททางภาษาที่ต่ำ คุณอาจจะใช้คำศัพท์เป็นที่พึ่งเพื่อถ่ายทอดความหมายที่คุณจะสื่อออกมาเพียงอย่างเดียว
อย่างไรก็ตาม กับภาษาญี่ปุ่นแล้ว คุณจะต้องคำนึงถึงสถานการณ์นั้นๆในการจะพูดคำบางคำออกไปด้วย ถ้าคุณยืนอยู่กลางสวนสาธารณะ เหงื่อไหลท่วมตัวพร้อมพัดคลายร้อนและคุณพูดว่า 暑い อาซึอิ ร้อน คนที่ฟังอยู่เขาจะเติมคำในช่องว่างและเข้าใจไปว่าคุณพูดถึงตัวเองว่า คุณเป็นคนฮอต แค่นั้น
นั่นหมายความว่า ภาษาญี่ปุ่นอาจเป็นภาษาที่มีปริมาณสั้นๆแต่กลับมีประสิทธิภาพมากในการถ่ายทอดสิ่งที่คุณพูดไปสู่ผู้อื่น นี่มองในแง่บวก แต่ถ้ามองในแง่ลบ มันอาจทำให้บทสนทนาที่คุยกันเกิดความสับสน คลุมเครือได้ ดังนั้นเมื่ออยู่ที่ญี่ปุ่นแล้ว มันไม่เกี่ยวกับว่าคุณพูดอะไร แต่เกี่ยวกับว่า คุณพูดที่ไหน พูดเมื่อไหร่ พูดโดยใครหรือกับใครต่างหาก
เอาตัวอย่างไปอ่านเล่นกัน:
暑い – อาซึอิ – ร้อน
寒い – ซามุยอิ – หนาว
冷たい – ซึเมะไตอิ – เย็น, ใช้กับสิ่งของที่เป็นของเหลว หรือของแข็ง
高い – ทาไค – สูงหรือราคาแพง
安い – ยาซุอิ – ราคาถูก
楽しい – ทาโนะชิอิ – สนุก
นอกจากนี้ยังมีคำคุณศัพท์แบบผันคำ ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณจะพูดว่า “สนุกจังเลย” ให้พูดว่า
楽しかった – ทาโนะชิคัตตะ – สนุกจังเลย

เคล็ดลับที่ 6 – เรียนรู้พื้นฐานการผันคำกริยาในภาษาญี่ปุ่น
เหมือนกับคำคุณศัพท์ คุณสามารถใช้คำกริยาเพื่อให้ประโยคสั้นลง แต่ยังได้ใจความอยู่ได้เช่นกัน อีกทั้ง การผันกริยาพื้นฐาน ก็ค่อนข้างง่ายอยู่ คุณสามารถใช้คำกริยาโดดๆไม่ต้องมีประธานในประโยค หรือไม่มีกรรมในประโยคได้เลย เช่นเดียวกันกับคำคุณศัพท์ ลองไปดูพื้นฐานกัน:
行きます – อิคิมัส – ไป (ปัจจุบัน)
行きません – อิคิมะเซน – ไม่ไป (ปัจจุบันรูปปฏิเสธ)
行きました – อิคิมะชิตะ – ไป (อดีต)
行きませんでした – อิคิมะเซน เดชิตะ – ไม่ไป (อดีจรูปปฏิเสธ)
ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ด้วย บางทีคุณอาจพูดแค่ 行きませんでした ที่แปลว่า “ฉันไม่ไป (อดีต)” หรือเพิ่มเสียงสูงเป็นประโยคคำถามว่า “คุณไม่ไปเหรอ? (อดีต)” ก็ได้ สิ่งเหล่านี้มันเอื้อประโยชน์ให้คุณมากพอตัว ฉะนั้น ฝึกใช้ประโยคพื้นฐานสักสามสี่ประโยคก็ยังดี

เคล็ดลับที่ 7 – เสริมพลังให้กับภาษาญี่ปุ่นของคุณด้วยประโยคลงท้าย
ถึงแม้จะมีเครื่องหมายลงท้ายประโยคในภาษาญี่ปุ่นอยู่มากมายมหาศาล คุณจะไม่รู้สึกลำบากเลยถ้าคุณรู้จักการใช้คำว่า “โย่” และ “เน่”
“เน่” หมายความว่า “ใช่ไหม,ว่างั้นมั้ย” ตัวอย่าง:
楽しかったね – ทาโนะชิคัตตะ เน่ – สนุกจังเลย ว่ามั้ย?
いいね – อีอี เน่ – ดีมากเลยใช่มั้ยล่ะ (อีกทั้งยังแทนปุ่ม “ถูกใจ” บนเฟซบุ๊คได้)
“โย่” ใช้เน้นย้ำเรื่องที่คุณอยากเน้น ให้เห็นความรุนแรงของมัน ดังนั้น คุณสามารถพูดได้ว่า:
楽しかったよ – ทาโนะชิคัตตะ โย่ – สนุกมากๆเลย
いいよ – อีอี โย่ – สบายมาก (โอเคสุดๆ)
ใช้คำเน้นพวกนี้จะทำให้คุณพูดได้เป็นธรรมชาติมากขึ้น ฉะนั้นจำมันซะ!

เคล็ดลับที่ 8 – หัดฟังพอดแคสต์สอนภาษาญี่ปุ่น
เอาล่ะๆ ขายของกันตรงๆนี่แหละ ยังไงก็ตาม คุณสามารถเข้าไปฟัง Japanese language learning podcasts here ตรงนี้ได้เลย
คุณอยากที่จะฝึกฟังภาษาญี่ปุ่นให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ในอินเทอร์เน็ตมีให้คุณลองโหลดไปฝึกฟังกันได้เพียบ มันสำคัญมากนะถ้าคุณค้นพบสิ่งที่คุณคิดว่าน่าสนใจดี และคอยผลักดันตัวเองให้พบกับสิ่งเหล่านั้นบ่อยๆ คุณไม่จำเป็นต้องไปจำกัดตัวเองแค่ว่า ฟังพอดแคสต์อย่างเดียวก็พอ หรอก เข้ายูทูบ ดูคลิปต่างๆที่เกี่ยวกับภาษาญี่ปุ่น ฟังพยากรณ์อากาศในช่องข่าว เอนเอชเค หรือไม่ก็ดูอนิเมะออนไลน์ก็ยังได้
ตอนที่ผมเริ่มเรียนภาษาญี่ปุ่นครั้งแรกเมื่อหลายล้านปีก่อน ผมแค่ไปซื้อหนังสือสอนบทสนทนาภาษาญี่ปุ่นพร้อมแผ่นซีดีในเล่ม มานั่งฟัง นั่งอ่านวนไปวนมาจนเลื่อมใส มันไม่ใช่หนังสือที่เด่อะไรมากมาย แต่มันช่วยผมพัฒนาทักษะการฟัง และการพูดบทสนทนาภาษาญี่ปุ่นได้มากอยู่
ไม่ว่าตอนนี้คุณจะฟังอะไรเพื่อฝึกการฟังของคุณอยู่ จงฟังมันต่อไป แม้ว่าคุณจะฟังไม่กระดิกสักคำเลยก็ตาม จุดมุ่งหมายก็คือการทำความคุ้นเคยกับเสียง จังหวะจะโคนและทำนองเสียงของภาษาญี่ปุ่น เชื่อผมเถอะ มันช่วยพัฒนาทักษะการฟัง และสร้างฐานที่มั่นคงให้กับการพัฒนาทักษะการสนทนาของคุณได้ดีทีเดียว คุณสามารถไปฟังเสียงเล่นซ้ำวนไปมาที่เรียกว่า “เงามืด” ได้ เป็นอีกหนทางหนึ่งในการซ้อมรูปแบบประโยคอย่างที่ได้กล่าวไปในเคลล็ดลับที่ 4

เคล็ดลับที่ 9 – เรียนรู้ฮิรางานะและคาตาคานะ และห้ามใช้โรมาจิ
อันนี้เป็นเคล็ดลับอย่างไว แต่ก็นะ พยายามเรียนรู้ฮิรางานะ และคาตานะให้ได้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ พยายามหนีให้ห่างจากวิธีเรียนภาษาญี่ปุ่นที่ใช้ “โรมาจิ” ในการสอน เพราะว่ามันจะทำให้คุณสับสนในการอ่านภาษาญี่ปุ่นแบบโรมาจิ อีกทั้ง การอ่านฮิรางานะและคาตาคานะออกจะช่วยในเรื่องการออกเสียงให้ดีขึ้นเล็กน้อย เช่นเดียวกับที่มันบังคับคุณให้พูดญี่ปุ่นในเสียงตั้งต้นของภาษา
และไม่ต้องเขินหรอกนะ ถ้าเพิ่งเริ่มเรียนคันจิตั้งแต่ศูนย์ เอาไว้ไปพูดถึงกันในบทความหน้าละกัน

เคล็ดลับที่ 10 – ออกไปข้างนอกและฝึกภาษาญี่ปุ่นของคุณกัน
ผมได้พูดคุยกับเพื่อนของผมที่เดินทางบ่อย และพูดได้หลายภาษามาก ซึ่งเขาเคยพูดบางอย่างที่น่าสนใจกับผมว่า “ถ้านายมีส่วนร่วมวัฒนธรรมต่างแดน นายไม่จำเป็นต้องเรียนภาษาอะไรเลย”
กล่าวคือ ถ้าคุณเข้าไปมีส่วนร่วมในสิ่งที่คุณชอบ สนใจ กับผู้คนที่พูดภาษาที่คุณอยากจะเรียนรู้มัน เมื่อนั้น คุณจะไปได้ไวกว่าคนอื่น แน่นอนล่ะ ว่าการเข้าชั้นเรียนก็ยังเป็นสิ่งสำคัญอยู่ อย่างไรก็ตาม มันอาจทำให้อะไรๆง่ายขึ้นกว่าการมานั่งจมอยู่กับตัวคันจิ และหลักไวยากรณ์ของพวกมัน จนไม่ได้ออกไปเปิดโลก และไม่ได้ไปฝึกกับเจ้าของภาษาละกัน
ถ้าคุณสร้างโอกาสที่จะเอาตัวคุณไปอยู่ในภาษาญี่ปุ่นให้มากขึ้น ไม่ว่าจะในสถานการณ์ไหนก็ตาม เมื่อนั้นแหละ คุณจะเริ่มซึมซับกับภาษาและเริ่มสื่อสารได้อย่างจริงจัง
ทักษะพูดภาษาญี่ปุ่นของผมก้าวกระโดดอย่างรวดเร็วเมื่อตอนที่ผมมาเรียนต่อที่ญี่ปุ่นและอาศัยอยู่ในหอพักชายกับเพื่อนร่วมห้องที่พูดภาษาอังกฤษไม่เก่ง ผมเลยถูกสถานการณ์บังคับ ให้ต้องใช้ภาษาญี่ปุ่นทุกวัน ซึ่งมันช่วยผมพัฒนาได้มากเลย ผมยังลงเรียน ไอคิโด เพื่อเพิ่มพลังทักษะการฟังและการพูดภาษาญี่ปุ่นให้กับตัวผมเอง
การได้ออกไปเที่ยวกับเพื่อนชาวญี่ปุ่น ไปนั่งดื่มด้วยกันที่ร้านเหล้าแบบญี่ปุ่นที่เรียกกันว่า “อิซากายะ” นั้น เป็นประสบการณ์ที่ยอดมาก และยังสนุกมากด้วยเช่นกัน เพราะเป็นการรวบรวมทุกสิ่งอย่างที่ผมเรียนในห้องเรียน และเอามาใช้ในชีวิตจริงได้ดีเยี่ยม
แม้ว่าคุณจะไม่ได้อาศัยอยู่ที่ญี่ปุ่น คุณยังสามารถสร้างโอกาสในการพบปะพูดคุยกับชาวญี่ปุ่นได้อยู่ ตัวอย่างเช่น เข้าร่วมกับชมรม ลงเรียนวิชาภาษาญี่ปุ่นหรือหาคนคุยกันในอินเทอร์เน็ตก็ยังได้

วิธีกล่าวทักทายในภาษาญี่ปุ่น

ประโยคที่ใช้ “ทักทาย” ในภาษาญี่ปุ่น คือ “คนนิจิวะ” แต่ความจริง ยังมีประโยคอีกมากมายในภาษาญี่ปุ่นที่ใช้กล่าวทักทายผู้คน ใน วิกิฮาว ครั้งนี้จะมาสอนเรื่องน่ารู้ เป็นประโยชน์แก่ตัวคุณในเรื่องของการทักทายในญี่ปุ่นกัน

สรปุสั้นๆ 10 วิ
พูด “คนนิจิวะ” ในทุกสถานการณ์
รับโทรศัพท์พร้อมกล่าวว่า “โมชิ โมชิ”
ใช้คำว่า “โอสซุ” กับเพื่อนสนิทที่เป็นผู้ชาย
ในโอซาก้า คำว่า “ยาโฮ่” เป็นที่นิยมกันมาก โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กผู้หญิง
เมื่อมีคนโค้งคำนับให้คุณ คุณก็ต้องโค้งคำนับกลับ

วิธีที่ 1 ทักทายแบบทั่วไป
พูด “คนนิจิวะ” ในทุกสถานการณ์ ประโยคนี้ใช้ทักทายได้ในทุกโอกาส และถ้าคุณจำประโยคทักทายประโยคอื่นไม่ได้เลย ใช้ประโยคนี้ซะ
คุณสามารถใช้ประโยคทักทายนี้ได้ทุกคน ไม่จำกัดฐานะทางสังคมด้วย
แม้จะมีคำทักทายที่แยกเป็นเวลาต่างๆแล้ว ประโยคนี้สามารถใช้ทักทายตอนบ่ายได้ด้วย (แทน Good Afternoon ได้)
สำหรับประโยคนี้ คันจิจะเขียน 今日は ส่วนฮิรางานะเขียนこんにちは
ออกเสียงประโยคนี้ได้ว่า คน-นี-จี-วา
รับโทรศัพท์พร้อมกล่าวว่า “โมชิ โมชิ” คำนี้เป็นการกล่าวทักทายกันในโทรศัพท์
ใช้คำนี้ทักทายทุกครั้ง ไม่ว่าคุณจะเป็นฝ่ายรับหรือฝ่ายโทรไปหา โมชิ โมชิ เป็นคำที่เหมาะสมที่จะพูดทางโทรศัพท์มากกว่า คนนิจิวะ
ห้ามใช้ โมชิ โมชิ กับการพูดต่อหน้ากัน
คำนี้เขียนเป็นฮิรางานะได้อย่างนี้ もしもし
ออกเสียงคำนี้ว่า โมช-โมช

วิธี่ที่ 2 ทักทายแบบไม่เป็นทางการ
ใช้คำว่า “โอสซุ” กับเพื่อนสนิทที่เป็นผู้ชาย คำนี้เป็นคำทักทายไม่เป็นทางการ ใช้กับเพื่อนสนิทที่เป็นผู้ชาย หรือกับญาติสนิทที่เป็นผู้ชาย อายุไล่เลี่ยกัน
คำนี้จะไม่นิยมใช้กับเพื่อนที่เป็นผู้หญิง หรือกับเพื่อนต่างเพศ
โอสซุ มีความหมายประมาณว่า “เฮ้ ว่าไง!” หรือ “ไงพวก!”
คำนี้เขียนเป็นฮิรางานะได้แบบนี้ おっす
ออกเสียงคำนี้ว่า โอส
ในโอซาก้า คำว่า “ยาโฮ่” เป็นอีกคำหนึ่งที่ไว้ใช้ทักทายกันในกลุ่มเพื่อนฝูง
ปกติจะเขียนเป็นคาตาคานะกัน เพราะเป็นคำที่ใช้แสดงความรู้สึก (ヤーホー)
ออกเสียงคำนี้ว่า “ยา-โฮ่”
ยาโฮ่ สามารถใช้กล่าวทักทายในกลุ่มคนที่อายุน้อยกว่าได้ โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กผู้หญิง
คำถามว่า “ไซคิน โดะ?” มีค่าเท่ากับคำถามในภาษาอังกฤษว่า “มีอะไร?” หรือ “ว่าไงมั่ง?”
เช่นเดียวกับคำทักทายแบบไม่เป็นทางการ คุณควรกล่าวคำนี้กับคนที่คุณสนิทสนมกัน เช่นเพื่อน พี่น้อง หรือกับเพื่อนร่วมห้อง หรือเพื่อนร่วมชั้นในบางโอกาส
คำถามนี้เขียนเป็นคันจิได้ว่า 最近どう? เขียนเป็นฮิรางานะได้ว่า さいきん どう?
ออกเสียงคำถามนี้แบบลวกๆได้ว่า ซิง-คิน-โด
กล่าวทักทายกับคนที่เราไม่ได้เจอกันเป็นเวลานานด้วย “ฮิซาชิบุริ” ในภาษาอังกฤษ เปรียบได้กับทักทายประมาณว่า “ไง ไม่เจอกันนานเลยนะ” หรือ “ไม่เจอกันตั้งพักนึงเลย”
ปกติคุณควรกล่าวทักทายแบบนี้กับเพื่อนสนิทหรือสมาชิกในครอบครัวที่คุณไม่เจอมาเป็นเวลานาน เป็นสัปดาห์ หนึ่งเดือน หรือปี
เขียนคำนี้เป็นคันจิได้ว่า 久しぶり ส่วนฮิรางานะเขียนแบบนี้ ひさしぶり
ถ้าอยากให้ดูเป็นทางการหน่อย ให้พูดแบบนี้ “โอ ฮิซาชิบุริ เดส เน” เขียนเป็นคันจิได้ว่า お久しぶりですね ส่วนฮิรางานะเขียนแบบนี้ おひさしぶりですね
ออกเสียงประโยคนี้ในรูปเต็มได้ว่า โออ ฮี-ซา-ชี-บู-รี-เด-ซือ-เน

วิธีที่ 3 มารยาทในการโค้งคำนับ
การโค้งคำนับใช้กันบ่อยมาก ไม่ใช่ใช้กันแค่ตอนพบเจอกันเพียงอย่างเดียว แต่มันแสดงถึงความเคารพซึ่งกันและกันด้วย สามารถให้ฝ่ายไหนเป็นคนเริ่มก่อนก็ได้
เข้าใจไว้ว่าการโค้งให้แก่กัน เป็นมารยาทที่ดีงามกว่าการจับมือกัน ส่วนสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ต้องจำคือการโค้งตอบ
เมื่อมีคนโค้งคำนับให้คุณ คุณก็ต้องโค้งคำนับกลับ คุณควรจะโค้งให้ต่ำลงกว่าคู่สนทนาของคุณที่เป็นฝ่ายโค้งให้คุณก่อน การโค้งให้ต่ำลงเป็นการแสดงความเคารพต่อคู่สนทนาของคุณ ดังนั้น ควรโค้งให้ต่ำกว่าคนที่โค้งให้คุณ ถ้าเขาคนนั้นมีฐานะทางสังคมสูงกว่าคุณ หรือเป็นคนที่คุณไม่รู้จัก
การโค้งคำนับทักทายกันจะโค้งต่ำลงมาประมาณ 15 องศา กับคนที่คุณคุ้นหน้าค่าตากันดี ส่วนกับคนที่คุณเพิ่งพบกับเขาหรือฐานะทางสังคมเขาสูงกว่าคุณ ให้คุณโค้งต่ำลงมาประมาณ 30 องศา การโค้งคำนับที่ลงมาต่ำถึง 45 องศาจะไม่นิยมทำกัน เว้นแต่คุณจะไปพบกับนายกเทศมนตรีของญี่ปุ่นหรือพบกับองค์จักรพรรดิ
ถ้าคุณอยากจะโค้งคำนับให้กับเพื่อนที่แสนดีของคุณ คุณแค่ผงกหัวให้ก็พอ แบบนี้คือการการโค้งคำนับที่ง่ายที่สุด
โค้งคำนับ ให้แขนทั้งข้างของคุณอยู่ข้างลำตัว ตามองขนานไปกับหัวของคุณ มั่นใจด้วยว่า คุณใช้แรงส่งจากเอวเพื่อโค้งคำนับ ถ้าแค่ผงกหัวหรือแค่ยักไหล่นั้นเป็นการทักทายที่ไม่เป็นทางการและส่อไปในทางดูหมิ่นคู่สนทนาได้

วิธีที่ 4 การทักทายแบบเป็นเวลา
เปลี่ยนไปทักทายด้วยประโยค “โอฮาโยะ โกไซมัส” ในการสวัสดีกันตอนเช้า ใช้ประโยคนี้สวัสดีผู้คนในเวลาก่อนเที่ยง ประโยคแปลเป็นความหมายง่ายๆได้ว่า “สวัสดี”
การทักทายเฉพาะเวลาในญี่ปุ่นนี้ สำคัญพอๆกับการทักทายเฉพาะเวลาในสหรัฐอเมริกา ในขณะที่คุณกล่าว่า “คนนิจิวะ” ทักทายกันตอนเช้าก็ได้ แต่ส่วนใหญ่เขาใช้ “โอฮาโยะ โกไซมัส” ในการกล่าวทักทายตอนเช้ากันมากกว่า
ประโยคนี้เขียนเป็นคันจิได้ว่า お早うございます เขียนเป็นฮิรางานะได้ว่า おはようございます
คุณสามารถย่อให้สั้นลงได้ โดยกล่าวแค่ “โอฮาโยะ” เวลาพูดกับเพื่อน หรือคนที่คุณคุ้นเคยกันดี คันจิเขียนได้ว่า お早う ส่วนฮิรางานะเขียนได้ว่า おはよう
ออกเสียงประโยคทักทายนี้ได้ว่า โอ-ฮา-โย-โก-ไซย-มัส
ใช้ “คมบังวะ” กล่าวทักทายตอนเย็น หลังมื้อเย็นไปแล้ว คุณควรเริ่มกล่าวทักทายผู้อื่นด้วยประโยคนี้มากกว่าประโยค “คนนิจิวะ”
เช่นเดียวกับการกล่าวทักทายเฉพาะเวลาอื่นๆ คมบังวะเป็นประโยคพื้นฐานใช้ทักทายช่วงเย็นถึงค่ำ คุณยังใช้ “คนนิจิวะ” ได้อยู่ แต่อย่างหลังมันไม่เหมาะกว่าอย่างแรก
เขียนประโยคนี้เป็นคันจิได้ว่า 今晩は ฮิรางานะเขียนได้ว่า こんばんは
ออกเสียงคมบังวะเป็น คม-บัง-วะ
ลองใช้ “โอยาสึมิ นาไซ” เพื่อกล่าวอำลากันตอนค่ำ
จดไว้ว่า โอยาสึมิ นาไซ ใช้กันบ่อยๆแทนคำว่า “ราตรีสวัสดิ์” ในตอนกลางคืนมากกว่าคำว่า “สวัสดี” คุณอาจถูกมองด้วยสายตาแปลกๆงงๆ เมื่อคุณใช้ “สวัสดี” ในตอนกลางคืน
เมื่อคุณอยู่กับเพื่อนๆ เพื่อนร่วมชั้น สมาชิกในครอบครัวที่สนิทๆกัน หรือใครก็ตามที่คุณรู้จักกัน ประโยคนี้สามารถย่อให้สั้นลง เป็น โอยาสึมิ แทนได้
โอยาสึมิ เขียนแบบฮิรางานะได้แบบนี้ おやすみ ถ้าทั้งประโยค โอยาสึมินาไซ เขียนเป็นแบบนี้ おやすみなさい
ออกเสียงประโยคนี้ได้ว่า โอ-ยา-ซือ-มี-นา-ไซย

วิธีการเรียนภาษาญี่ปุ่น

คนนิจิวะ (こんにちは)! ภาษาญี่ปุ่นเป็นภาษาที่ดีในการเริ่มเรียนรู้ ไม่ว่าคุณจะใช้มันในการทำธุรกิจ เสพสื่อมีเดียของญี่ปุ่นให้เข้าถึงอารมณ์มากขึ้น เช่นพวกการ์ตูนมังงะ หรือพูดคุยสนทนากับเพื่อนชาวญี่ปุ่นของคุณก็ตาม แต่ในขั้นแรกนั้น การเรียนภาษาญี่ปุ่นอาจทำให้คุณรู้สึกท้อกันบ้าง เพราะมันไม่มีความเกี่ยวเนื่องกัน หรือใช้มันเป็นแหล่งอ้างอิงกับภาษาอื่นเช่นภาษาอังกฤษเข้ามาช่วยได้เลย รูปแบบการเขียนและแนวทางก็ยังซับซ้อนเข้าไปอีก แต่เรื่องหลักไวยากรณ์ การออกเสียงและพวกบทสนทนาพื้นฐานจะตรงไปตรงมา ไม่ซับซ้อนอะไร เริ่มด้วยการรู้ประโยคที่จำเป็นๆก่อน แล้วค่อยเรียนลึกไปถึงเสียงในภาษาญี่ปุ่นและรูปแบบการเขียนกันก่อนดีกว่า

วิธีที่ 1 พื้นฐานของภาษา

เรียนรู้รูปแบบการเขียนภาษาญี่ปุ่น การเขียนภาษาญี่ปุ่นมีทั้งหมดสี่รูปแบบ แต่ละรูปแบบก็จะมีอักขระที่ต่างกันออกไป อาจดูเหมือนมากมาย แต่ทุกคำในภาษาญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็นการเขียนในรูปแบบใดก็ตาม จะมีการออกเสียงด้วยการรวมกันของเสียงพื้นฐานเพียง 46 เสียง การจัดรูปแบบการเขียนที่ต่างกันและวิธีใช้ที่ต่างกันของแต่ละรูปแบบให้ได้เป็นสิ่งสำคัญในการเรียนภาษาญี่ปุ่น อธิบายภาพรวมแบบรวบรัดได้ดังนี้
ฮิรางานะเป็นพยางค์ ตัวอักษรการออกเสียงในภาษาญี่ปุ่น ที่สร้างรูปแบบการเขียนในภาษาญี่ปุ่นขึ้นมาหนึ่งรูปแบบ อักขระแต่ละตัวจะมีพยางค์เป็นของตัวเอง อาจรวมถึงสระและเสียงพยัญชนะด้วย ซึ่งไม่เหมือนกับพยัญชนะในภาษาอังกฤษเลย
คาตาคานะก็เป็นอีกหนึ่งพยางค์ ส่วนมากใช้ทับศัพท์ภาษาต่างประเทศ หรือเสียงเลียนธรรมชาติ (เช่นเสียง ปัง! หรือเสียงกรีดร้อง) เมื่อรวมฮิรางานะเข้ากับคาตาคานะเข้าด้วยกันแล้ว มันจะกลายเป็นตัวกำหนดช่วงเสียงทั้งหมดในภาษาญี่ปุ่น
คันจิเป็นอักขระของจีนที่นำมาปรับให้เป็นรูปแบบการเขียนอีกอย่างหนึ่งในภาษาญี่ปุ่น ในขณะที่ฮิรางานะและคาตาคานะเป็นตัวอักษรที่มีการออกเสียงเพียงอย่างเดียว แต่คันจิไม่เป็นแบบนั้น มีตัวอักษรคันจิมากมาย เป็นพันๆตัว พร้อมด้วยการใช้งานที่แบบทั่วไปถึง 2,000 แบบ ฮิรางานะและคาตาคานะถือกำเนิดมาจากตัวคันจิพวกนี้แหละ เสียงทั้ง 46 เสียงที่เอามาออกเสียงตัวฮิรางานะและคาตาคานะก็เอามาออกเสียงคันจิด้วยเช่นกัน
ตัวพยัญชนะที่เอามาใช้เขียนชื่อย่อ ชื่อบริษัท หรือชื่อที่เกิดจากความสุนทรียะในการแต่งของผู้เขียนในญี่ปุ่นนั้น เรียกว่า โรมาจิ (“ตัวอักษรโรมัน”) ภาษาญี่ปุ่นสามารถใช้ตัวอักษรลาตินมาเขียนแทนได้ มันไม่ได้ใช้กันทั่วไปหรอก แต่เอามาใช้ในการฝึกผู้เริ่มเรียนภาษาญี่ปุ่น ให้ออกเสียงภาษาญี่ปุ่นได้ง่ายขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังมีตัวอักษารในภาษาญี่ปุ่นอีกเพียบที่ซับซ้อนเกินกว่าจะอธิบายในรูปของตัวอักษรลาตินได้ และรวมไปถึงคำพ้องรูปหรือพ้องเสียง (ที่มีมหาศาลกว่าภาษาอังกฤษ) ซึ่งอาจทำให้สับสนกันได้ ดังนั้น นักเรียนภาษาญี่ปุ่นจึงต้องได้รับการส่งเสริมการศึกษาตัวอักษรในญี่ปุ่นให้ได้ไวที่สุด และพยายามหลีกเลี่ยงการใช้ตัวอักษรลาตินเป็นไม้ช่วยพยุง

ฝึกฝนการอ่านออกเสียงภาษาญี่ปุ่น ใน 46 เสียงของภาษาญี่ปุ่นจะประกอบด้วยสระห้าเสียง หรือการผสมกันของสระและพยัญชนะ เสียงสระจะไม่มีการผันแปรอย่างใด คุณสามารถเริ่มฝึกออกเสียงโดยศึกษาวิธีการออกเสียงตัวอักษรแต่ละตัวของฮิรางานะและคาตาคานะก่อน ดูตัวอย่างนี้
เน้นโทนเสียงให้ต่างกัน ความหมายของคำที่คุณพูดจะเปลี่ยนไปตามเสียงที่คุณเปล่งออกมา คำที่มีออกเสียงพยางค์ยาวอาจมีความหมายที่แตกต่างไปจากของเดิมที่ออกเสียงสั้น (“อุ กับ อู” เป็นต้น)

เรียนรู้ความหลากหลายของเสียงพื้นฐาน ตัวกอักษรในภาษาญี่ปุ่นอาจเพิ่มเครื่องหมายลงไปเพื่อบ่งบอกถึงวิธีการออกเสียงที่แตกต่างเล็กน้อย บางครั้งอาจเปลี่ยนความหมายของคำที่เขียนขึ้น คล้ายกันกับเสียง “S” ที่บางครั้งก็ได้ยินเป็นเสียง “Z” ในภาษาอังกฤษ
พยัญชนะเสียงหนักออกเสียงด้วยการหยุดอย่างหนักระหว่างเสียงสองเสียง
สระเสียงยาว จะแตกต่างจากสระเสียงสั้น ซึ่งแสดงถึงคำที่ต่างออกไป ออกเสียงโดยการยึดเสียงเพื่อเพิ่มจังหวะ

ทำความคุ้นเคยกับหลักไวยากรณ์ญี่ปุ่น การที่เรารู้พื้นฐานไวยากรณ์จะช่วยให้เราเข้าใจภาษาญี่ปุ่นและเริ่มเขียนประโยคญี่ปุ่นได้คล่องขึ้น ไวยากรณ์ญี่ปุ่นง่ายและยืดหยุ่น เลยสามารถนำคำมาต่อกันเพื่อให้เกิดความเข้าใจได้ง่ายกว่า
หัวเรื่องสามารถละเว้นหรือไม่มีก็ได้
คำกริยาจะอยู่ท้ายประโยคเสมอ
คำนามไม่มีเพศระบุ และส่วนใหญ่ไม่มีการเปลี่ยนรูปเมื่ออยู่ในรูปพหูพจน์
คำกริยาไม่เปลี่ยนรูปตามประธานเอกพจน์ (เขา/เธอ/มัน) และก็ไม่เปลี่ยนตามประธานที่เป็นพหูพจน์ด้วย (ประธานที่เป็นพหูพจน์ เช่น ฉัน/พวกเรา/พวกเขา)
อนุภาค ที่กำหนดประเภทคำว่าเป็นประธาน กรรม ฯลฯ จะตามด้วยคำที่เกี่ยวเนื่องกันเสมอ
สรรพนามที่เป็นบุคคล (ฉัน,คุณ,ฯลฯ) จะแตกต่างกันไปตามระดับความสำคัญและความเป็นทางการในแต่ละสถานการณ์

วิธีที่ 2 ข้อแนะนำ

หาเทปฟังเพื่อฝึกฝน หลังจากเรียนรู้พื้ฐานแล้ว ก็ได้เวลาของบทเรียนนอกห้องเรียนเพื่อเพิ่มพูนทักษะของคุณให้มากขึ้น ถ้าคุณเรียนภาษาญี่ปุ่นเอาสนุกๆ เพราะว่าคุณชื่นชอบวัฒนธรรมของญี่ปุ่นเช่น การ์ตูนมังงะและอนิเมะ หรือเพื่อใช้ตอนไปเที่ยวที่ญี่ปุ่น ซีดีใช้ฟังเพื่อการเรียนรู้ก็อาจเพียงพอสำหรับคุณแล้ว เพียงแค่นั่งฟังสักชั่วโมงต่อวัน คุณก็จะเข้าใจการสร้างไวยากรณ์ง่ายๆและคลังคำศัพท์ที่จำเป็นแล้ว
ควรฟังไประหว่างที่คุณทำกิจกรรมต่างๆ เช่นช่วงรับประทานอาหารเช้า กลางวัน หรือช่วงเดินเล่นในสวนสาธารณะก็ดี
ไม่จำเป็นต้องเรียนทักษะการอ่านและการเขียนเพื่อให้สนุกกับภาษาและวัฒนธรรมญี่ปุ่นเสมอไป ดังนั้นถ้าคุณมีแผนจะไปเที่ยวทริปสั้นๆที่ญี่ปุ่น การรู้ประโยคพื้นฐานสักสี่ห้าประโยค อาจช่วยให้คุณเข้าใจได้ง่ายกว่าการนั่งงมกับอักษรญี่ปุ่นจนปวดหัว

ลงเรียนวิชาภาษาญี่ปุ่น ถ้าคุณเรียนเพื่อเอาไปประกอบธุรกิจหรืออาศัยอยู่ที่ญี่ปุ่นเลย คุณควรจะลงเรียนภาษาญี่ปุ่นในระดับมหาวิทยาลัย และหลักสูตรเข้มข้นด้วยก็ดี หรือหลักสูตรออนไลน์ก็เข้าท่า การเรียนอ่านและเขียนภาษาญี่ปุ่นจะมีส่วนสำคัญต่อความสำเร็จในระยะยาวของคุณ และการที่มีครูสอนในช่วงเริ่มเรียนของคุณจะช่วยสร้างความคิด พัฒนาพฤติกรรมการเรียนให้ดีขึ้นแก่ตัวคุณ และอย่าลืมว่า ถ้าสงสัยอะไร ถามครูให้หมดจะเป็นการดียิ่ง
การเรียนเรื่องรูปแบบการเขียนนั้น ถ้าหากคุณคิดว่าการเขียนได้ เขียนเป็น เป็นเป้าหมายสำคัญของคุณในการเรียนภาษานี้ ก็ให้คุณเริ่มเรียนการเขียนทั้งสี่รูปแบบของภาษาญี่ปุ่นให้ครบหมด ฮิรางานะและคาตาคานะสามารถเรียนรู้ และเข้าใจได้ในเวลาไม่กี่สัปดาห์ และคุณยังมันใช้เขียนอะไรก็ได้ที่คุณอยากเขียนเป็นภาษาญี่ปุ่นได้เลย ตัวอักษรคันจิที่ภาษาญี่ปุ่นใช้กันมีอยู่ประมาณ 2,000 ตัวอักษร ฉะนั้น มันต้องเวลาหลายปีในการเรียนรู้ แต่มันก็คุ้มอยู่นะถ้าคุณอยากจะเข้าใจภาษาญี่ปุ่นให้ถ่องแท้ทั้งหมดน่ะ
ใช้การ์ดรวมคำศัพท์ และการ์ดรวมประโยคง่ายๆ ประโยชน์ของกระดาษนี้คือ มันใช้ได้ทุกที่ ใช้ได้ระหว่างรอประชุมบริษัท ระหว่างรอรถไฟ อื่นๆอีกมากมาย คุณสามารถหาการ์ดคำศัพท์ได้ง่ายๆตามเวบไซต์ต่างๆ ฟรี หรือคุณสามารถหาซื้อในแบบที่ดีๆหน่อยตามศูนย์หนังสือมหาวิทยาลัย หรือตามร้านค้าออนไลน์
หากต้องการฝึกคันจิ ให้มองหาการ์ดที่มีคำอธิบาย (วิธีการเขียนตัวอักษร) ที่แสดงตัวอักษรในด้านหนึ่ง อีกด้านหนึ่งแสดงตัวอย่างประโยคให้ดูจะดีที่สุด คุณสามารถทำขึ้นเองได้เพื่อตอบสนองความต้องการของคุณได้อย่างถูกจุด
มีส่วนร่วมกับชั้นเรียน และกิจกรรมในชั้นเรียน ทำการบ้านที่ได้รับมอบหมายให้ครบ ยกมือบ่อยๆ และเอาตัวเข้าไปเกี่ยวข้องกับภาษาญี่ปุ่นให้ได้มากที่สุดเท่าที่ทำได้เพื่อเก็บเกี่ยวความรู้ให้ได้มากที่สุด ไม่งั้นแล้ว คุณจะไม่ก้าวหน้าทางภาษาญี่ปุ่นเลย

วิธีที่ 3 จมอยู่กับภาษาญี่ปุ่น

เข้าร่วมกลุ่มสนทนาภาษาญี่ปุ่น กลุ่มสนทนาเป็นกลุ่มที่สามารถหาได้ค่อนข้างง่ายทางอินเทอร์เน็ตหรือตามห้องสมุด ฝึกฝนหูของคุณให้เก็บสิ่งที่พวกเขาพูดมาให้หมด แม้ว่าคุณจะไม่เข้าใจสิ่งที่พวกเขาพูดเลยก็ตาม พยายามพูดตามพวกเขาเท่าที่เราฟังจับใจความมาได้และนำไปพัฒนาทักษะของตนเอง

หาเพื่อนชาวญี่ปุ่นที่คุณจะสามารถฝึกภาษากับเขาบ่อยๆได้ มีชาวญี่ปุ่นหลายคนที่อยากเรียนภาษาอังกฤษ ดังนั้นคุณอาจหาเพื่อนสักคนที่สามารถช่วยคุณฝึกภาษาญี่ปุ่น แลกกันกับที่คุณช่วยฝึกภาษาอังกฤษให้เขา การหาเพื่อนไว้ช่วยเหลือซึ่งกันและกันง่ายๆเช่นนี้จะทำให้ทักษะของคุณก้าวกระโดดอย่างไม่รู้ตัว
หากิจกรรมทำร่วมกันที่ช่วยฝึกภาษาที่ไม่ใช่ การเรียนการสอน กับเพื่อนของคุณ ถ้าเพื่อนชาวญี่ปุ่นของคุณอาศัยอยู่ที่ประเทศของคุณเป็นเวลาสั้นๆ พาเขาไปชมรอบๆเมืองก็ดี ไปเที่ยวชมวิว เปิดหูเปิดตา อย่างลืมว่า คุณต้องเป็นตัวของตัวเอง ปลดปล่อยตัวเองบ้าง ไม่งั้นคุณจะรู้สึกเครียดกับตัวคันจิที่คุณต้องจำเกินไป สนุกกับมันเป็นทางออกที่ดีที่สุดที่จะประสบความสำเร็จ
วันไหนที่คุณว่าง ไม่ได้ออกไปไหน ให้คุณโทรศัพท์หาเพื่อนคุณทุกวัน สักครึ่งชั่วโมงกำลังดี โดยที่คุณต้องพูดแค่ภาษาญี่ปุ่นเท่านั้น ฝึกฝนมากเท่าไร ทักษะคุณก็จะชำนาญมากขึ้นเท่านั้น

บริโภคสื่อมิเดียของประเทศญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์ นวนิยาย หรือรายการโทรทัศน์ อ่านหรือดูสื่อที่เป็นภาษาญี่ปุ่นทุกวัน ตอนนี้มีรายการโทรทัศน์ของญี่ปุ่นให้ดูหลายรายการเลยบนอินเทอร์เน็ต ไล่ตั้งแต่ตลกขบขัน เกมโชว์จนถึงละคร หาสิ่งที่คุณชื่นชอบ สนใจและเรียนรู้มันจะทำให้ง่ายต่อการเรียนภาษาญี่ปุ่นมากขึ้น หนังสือพิมพ์ญี่ปุ่นจะมีคำศัพท์ หลักไวยากรณ์ที่เป็นประโยชน์แก่คุณมากมายให้เก็บเกี่ยว พอคุณเริ่มเก่งขึ้น ลองอ่านนวนิยายดู นี่จะช่วยให้คุณพบกับแนวการเขียนที่แปลกขึ้น
หนังสือการ์ตูน (มังงะ) เป็นวัตถุดิบที่ดีในการฝึกการอ่าน แต่ระดับความซับซ้อนของคำก็มหาศาลด้วยเช่นกัน หนังสือการ์ตูนผู้ใหญ่ก็เป็นแนวทางการฝึกที่ดีเช่นกัน (โดยเฉพาะตรงที่มันมีภาพให้เราเข้าใจว่า เรื่องที่อ่านเกี่ยวกับอะไรได้) บางเรื่องก็อาจจะเขียนมาสำหรับเด็กซึ่งจะเต็มไปด้วยเสียงเอฟเฟ็กต์ และศัพท์สแลงเพียบ ระวังตอนที่คุณพูดทวนออกมาเป็นภาษาญี่ปุ่นด้วยนะ

เรียนต่อที่ประเทศญี่ปุ่น นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะฝึกภาษาของคุณ และประยุกต์ใช้ในสิ่งที่คุณร่ำเรียนมา มันจะเป็นประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้น และคาดเดาไม่ได้เมื่อเราต้องกลมกลืนไปกับวัฒนธรรมของต่างแดน แม้จะเป็นระยะเวลาสั้นๆก็ตาม และแม้ว่าคุณจะทำการหาข้อมูลมาอย่างแน่นปึ้ก พอไปสถานที่จริง คุณอาจพบเจอกับประสบการณ์ที่คุณไม่อาจจินตนาการถึงก็เป็นได้
ถ้าคุณสมัครเข้าเรียนโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยแล้ว ถามหาโครงการเรียนต่อที่ประเทศญี่ปุ่นด้วยก็ดี เพราะนี่เป็นทางที่ดีที่สุดในการศึกษาภาษาญี่ปุ่นในระยะยาว และคุณอาจได้รับทุนช่วยเหลืออีกด้วย
อย่าเพิ่งท้อแท้ถ้าหากคุณไม่เข้าใจที่คนอื่นพูด หรืออ่านอะไรไม่ออก เขียนอะไรไม่ได้ดังใจคุณเลย มันต้องใช้เวลาเป็นปีกว่าคุณจะอ่านออกเขียนได้ ความซับซ้อนและความแตกต่างของภาษาญี่ปุ่นอาจเป็นเรื่องที่ยากในการเข้าใจมันอย่างถ่องแท้ แต่มันก็เป็นสิ่งที่สวยงามอีกเช่นกัน

5 สิ่งในญี่ปุ่นที่ผมจะไม่มีวันคุ้นชินกับมัน

ช่วงที่ผมอาศัยอยู่ในญี่ปุ่นได้ประมาณสัปดาห์กว่าๆ ผมเดินเข้าไปในร้านสะดวกซื้อ มองหาของกินที่คุ้นปาก เพื่อบรรเทาอาการคิดถึงบ้านสักหน่อย ผมก็ได้ไปเจอกับสิ่งๆหนึ่ง หน้าตาคล้ายกับของกินที่ประเทศผม ผมลองกัดลงไปคำหนึ่ง แค่คำเดียว ผมก็ถูกจู่โจมจากน้ำตาล เนื้อครีมผสมที่หวานเลี่ยนอย่างไม่คาดคิด หวานชนิดที่วิลลี วองก้าต้องพูดออกมาเลยว่า มันอันตรายต่อสุขภาพ

ผมรักประเทศญี่ปุ่น ไล่ตั้งแต่ผู้คน ไปจนถึงขนมโมจิที่เต็มไปด้วยช็อคโกแลตและมาร์ชเมลโลว์ มันช่างเป็นสถานที่ที่น่าทึ่งจริงๆ แต่มันก็มีบางสิ่งที่ผมรับได้ ถึงแม้จะอยู่ห่างไกลจากบ้านผมที่อังกฤษมากก็ตาม ผมก็ยังรับได้ ขณะที่บางสิ่ง ยังทำใจให้คุ้นเคยกับมันได้ยากอยู่ เช่นเจ้าขนมปังที่เต็มไปด้วยน้ำตาล และครีมผสมรสชาติหวานเลี่ยนเป็นต้น
วันแรกในญี่ปุ่นของผมนั้น ผมเดินเข้าไปในร้านๆหนึ่งและสะดุ้งเข้ากับเสียงทักทายที่ผมคิดว่าทุกคนต้องเคยได้ยิน ผมยอมรับว่า สิ่งแรกที่ผมตอบกลับไปหลังจากที่เจ้าของร้าน และพนักงานร้านร้องพร้อมกันว่า “อิรัชไชมัตเสะ!” คือ “ขอโทษครับ ผมพูดภาษาญี่ปุ่นไม่เป็น” พนักงานทั้งร้านมองมาที่ผมด้วยสายตาที่งงงวย และพวกเราเห็นพ้องต้องกันว่า อย่าพูดถึงมันอีก แต่ตอนนี้ผมยืดอกรับเลย คิดซะว่าเรากำลังรับพระราชประกาศอยู่ก็เหมาะดี
แม้ว่า วัฒนธรรมในหลายๆแง่มุมของญี่ปุ่นจะเป็นอะไรที่ง่ายต่อการทำความคุ้นเคย แต่ก็ยังมีอีกแง่มุม ที่ผมคิดว่าชาตินี้คงไม่มีวันเข้าใจแน่นอน ผมเชื่อว่าชาวต่างชาติที่มาตั้งรกรากที่นี่ต้องคิดแบบเดียวกับผม ตั้งแต่วิธีรับประทานอาหาร จนไปถึงวิธีการจาม นี่คือลักษณะเฉพาะตัวที่แปลกประหลาดของญี่ปุ่นที่ทำให้ผมงงงวยมาจนทุกวันนี้

1.เรื่องของก๋วยเตี๋ยว
ตั้งแต่ผมเติบโต และก้าวเข้ามาในโลกของผู้ใหญ่ และสามารถทำอาหารเลี้ยงชีพตัวเองได้แล้วนั้น ผมเรียนรู้มาว่ามีอยู่สองสิ่งที่สำคัญอย่างมากในการรับประทานอาหาร: เคี้ยวอาหารต้องปิดปากให้สนิท และกะหล่ำปลีบรัสเซลล์เป็นสิ่งที่ชั่วร้าย และต้องถูกชำระล้างด้วยไฟบรรลัยกัลป์

ดังนั้น สำหรับผมแล้ว การรับประทานควรมีกิริยาสงบเงียบ การที่ต้องร้องตะโกนออกมาเสียงดังๆให้กับแขกร่วมโต๊ะ เพื่อทำให้เห็นว่าคุณเอร็ดอร่อยกับมื้ออาหารมากแค่ไหนนั้น เป็นสิ่งที่แย่ เราทำเพียงแค่พยักหน้าให้เล็กน้อย หรือคุณจะเก็บไปวิจารณ์กันสนุกปากในกูเกิ้ลแมปก็แล้วแต่คุณ อย่างไรก็ตาม เมื่อผมมาที่ประเทศญี่ปุ่น สิ่งที่ผมรับได้รับการปลูกฝังมา มันกลับตรงกันข้ามกันหมด อันที่จริง มันออกจะดุเดือดด้วยซ้ำ เมื่อคุณกำลังทานราเมนอยู่ คุณควรจะสูดเส้นราเมนให้เสียงดังๆเข้าไว้ ผมได้ยินมาว่าการทำแบบนี้แสดงให้เห็นว่า คุณเอร็ดอร่อยกับมื้ออาหารนี้ และเป็นการกล่าวชื่นชมเชฟทำอาหารทางอ้อมด้วย
หรือมันจะเป็นการทำให้อาหารอร่อยขึ้น โดยการสูดอากาศเข้าปอด พร้อมกับเส้นราเมนและน้ำซุปก็เป็นได้ การที่ทำแบบนี้จะช่วยให้ลิ้นของคุณไม่พอง และสร้างความชุ่มชื่นให้กับรสอาหาร หรือการสูดเส้นราเมนจนสุดเส้น (ถ้าทำได้อย่างถูกต้องละนะ) เพื่อให้เส้นสะบัดขึ้นเหมือน “แส้” และน้ำซุปก็จะกระเด็นติดเสื้อและเนคไทของคุณเต็มไปหมด เป็นทักษะที่เราชาวต่างชาติทำได้ยากนัก ผมยังไม่เข้าใจและสงสัยอยู่ดีว่าทำไมไม่รอให้มันเย็นก่อน แล้วค่อยทานล่ะ

2.เอกสาร เอกสาร และเอกสาร
รู้ไหมผมชอบอะไร? นั่งประทับตราชื่อของผมเป็นครั้งที่ 55 ในวันหนึ่งๆ และก็นั่งกรอกเอกสารฉบับที่ 98 ประเทศญี่ปุ่นเป็นดินแดนที่ข้าราชเข้ามาเพื่อเกษียณอายุกัน
สำหรับสิ่งที่งี่เง่าที่สุด คือผมต้องเตรียมพร้อมทั้งมือสองข้าง และจิตใจให้มั่นคง เพื่อรอรับการมาของกองเอกสารเท่าภูเขา แต่ก็อีกนั่นแหละ บางทีผมอาจพลาดความสนุกของการประทับตราด้วย อินคัน (ตราประทับส่วนตัว) ที่จุ่มลงในหมึก และกดมันลงไปบนรอยพับกระดาษที่เฉียบคมก็เป็นได้ ถ้าไม่ได้มาที่นี่ นี่คืออีกทักษะหนึ่งที่ดูเหมือนง่ายแต่ก็ยังมีวิธีการในแบบของมันเอง เช่นเดียวกับหลายสิ่งหลายอย่างในญี่ปุ่นเช่นกัน

3.“จมูกยาวๆ” นั่น คืออะไรกันน่ะ?
คุณเคยได้ยินคนมาพูดกับคุณว่า “โห จมูกคุณยาวจัง” และคุณก็รู้สึกหัวเสียมากๆไหม? มันอาจเป็นเรื่องที่แปลก ที่จะมาพูดกันแบบนั้น แต่ชาวต่างชาติหลายต่อหลายคนจะเจอกับความคิดเห็นที่ท้ายสุดลงเอยเป็นคำชมไปซะได้ แม้จะรู้สึกอึดอัดใจหรือผิดที่ผิดเวลาก็ตาม
มันเป็นสิ่งที่คนญี่ปุ่นใช้เพื่อเริ่มบทสนทนา แต่ มันไม่มีทางที่คุณจะทำใจให้ชินกับมันได้ ในบางครั้ง การมีคนมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับรูปร่างหน้าตาของคุณก็เป็นเหมือนการนับถือ ภูมิใจในตนเอง มีคนบอกว่าตาผมเป็นสีฟ้า และผมไปเจอกับเด็กคนหนึ่งผู้ซึ่งอยากได้ลูกตาสองข้างของผม หลังจากที่เขาบอกผมว่า เขารู้ที่อยู่ของผม และเมื่อเร็วๆนี้ก็มีคนมาบอกผมอีกว่า จมูกของยาวเป็นสันอย่างกับริมฝั่งของแม่น้ำยังไงยังงั้น
ขณะที่ผมก็ยังไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้อย่างถ่องแท้สักที ดังนั้น สิ่งที่สามารถเอาชนะความแปลกประหลาดแบบนี้ได้ ก็คือการยอมรับมัน

4.เบียร์และของมึนเมา
ในฝั่งตะวันตก การรินเบียร์ให้มีส่วนของ “หัวบียร์” (คุณก็รู้ ไอ้พวกฟองเบียร์อะไรนั่นแหละ) ให้น้อยที่สุดนั้น เป็นเรื่องที่รู้กันอยู่แก่ใจของเหล่านักดื่มที่นั่น

แต่ในญี่ปุ่นั้น มันตรงกันข้ามกันเลย บางครั้ง พวกเขาจะใส่ฟองขาวๆ ลงบนหัวแก้วเพื่อความสวยงาม ผมเข้าใจ มันดูดี แต่มันทำให้การดื่มดูติดๆขัดๆ เพราะเราต้องยกแก้วเบียร์แล้วกระดกผ่านฟองขาวๆที่หนาเกือบนิ้วเพื่อไปให้ถึงตัวเบียร์ให้ได้ ถึงการทำแบบนี้มันจะทำให้ฟองติดริมฝีปากเราจนดูเหมือนมีหนวดก็ตาม
ในขณะที่ฝั่งตะวันตกส่วนใหญ่อาจเห็นด้วยกับสิ่งที่ผมกำลังจะสื่อ ทางฝั่งคนญี่ปุ่นก็คงตกใจไม่ใช่น้อยเมื่อไปเที่ยวต่างประเทศ แล้วเจอเบียร์หัวโล้นของทางนั้นเข้า

5.การห้ามจาม
การจามถือเป็นสิ่งจำเป็นกับชีวิต เราทุกคนก็เคยจามกัน โดยเฉพาะในช่วงที่ไข้หวัดระบาด หรือช่วงหน้าหนาว หน้าร้อน และหน้าที่มีแต่ฝุ่นละอองเต็มไปหมด
ที่ประเทศอังกฤษ ขั้นตอนมาตรฐานของการจาม ตามรับสั่งขององค์ราชินี คือต้องออกไปนอกห้องก่อน แล้วค่อยจาม หรือถ้าออกไปไม่ได้ ก็ให้จามอย่างเงียบๆขณะที่ทุกคนในห้องพร้อมกันส่งสายตารังเกียจใส่คุณ อย่างไรก็ตาม ที่ญี่ปุ่น ดูเหมือนจะตรงกันข้ามอีกแล้ว แม้เพียงแค่คิดอยากจามใส่กระดาษทิชชู่ ก็อาจถูกตบเข้าที่ข้อมือ 10 ครั้ง พร้อมกับตั๋วเที่ยวเดียวออกจากประเทศไปเลย หลายคนเลยเลือกที่จะสูดหายใจกลับเข้าไปดังๆ เพื่อไม่ให้จามออกมาแทน และการใช้กระดาษทิชชู่ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ไหนก็ตาม คุณจะถูกมองว่าหยาบคายทันที หรือนี่ผมกำลังเข้าแข่งขัน การกลั้นจาม โดยที่ผมยังไม่รู้ตัวใช่ไหมเนี่ย? มีใครให้มากกว่านี้มั้ยครับ?

ญี่ปุ่นได้ทำการซื้อไร่กังหันลมไอริชมูลค่ากว่า 300 ล้านยูโร

สินทรัพย์ที่ประกอบไปด้วยไร่กังหันลม 4 ไร่ที่กำลังดำเนินการอยู่ และคาดว่าไร่ที่ 5 จะดำเนินการภายในปีหน้า
ไมเคิล เมอร์เนน ผู้ประกอบการด้านพลังงานหมุนเวียน และผู้สนับสนุนเงินทุนจากอังกฤษ ได้ขายหุ้นรายใหญ่เป็นยอดรวมของไร่กังหันลมในมึนสเตอร์และคอนน็อท มูลค่าราว 300 ล้านยูโร ให้กับกลุ่มประเทศญี่ปุ่น
โซจิตส์ คอร์ปอเรชั่น บริษัทการค้าการลงทุนจากโตเกียว มิตซุบิชิ ยูเอฟเจ และบริษัท เช่าการเงินและสาธารณูปโภค คันไซ อิเล็คทริค พาวเวอร์ ได้เปิดเผยไปเมื่อวันจันทร์ว่าพวกเขาได้ซื้อหุ้น 60% ในบริษัทที่อยู่เบื้อหลังสินทรัพย์ซึ่งมีความสามารถในการให้พลังงานแก่ที่พักอาศัยเป็นจำนวน 150,000 ครัวเรือน
ผู้ขาย อินวิส เอเนอร์จี ได้จัดตั้งขึ้นมาให้เป็นบริษัทร่วมทุนกันระหว่างบริษัทวิศวกรรมและพลังงานลมของคุณเมอร์เนนอย่าง เครเดิล กรุ๊ป กับ เอชจี แคปปิตอล บริษัทหลักทรัพย์เอกชนจากสหราชอาณาจักร ซึ่งทั้งคู่ถือหุ้นอยู่ 40%
สินทรัพย์นี้มีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวม 223 เมกะวัตต์ ให้พลังงานแก่ไร่กังหันลม 4 ไร่ให้สามารถดำเนินงานได้อยู่ ซึ่งไร่ที่ห้านี้คาดการณ์ว่าจะนำออกมาใช้ภายในต้นปี 2018
ภาคพลังงานลมในไอร์แลนด์มีการใช้งานอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา โดยกลุ่มพลังงานนิวเคลียร์ทั่วไปของจีนได้กว้านซื้อสินทรัพย์ที่เป็นไร่ผลิตพลังงานลมกว่า 230 เมกะวัตต์จากแกเลคทริคเมื่อเดือนธันวาคม ขณะที่กรีนโค้ท รีนูเวเบิลที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งใหม่ ซื้อกิจการไปก่อนแล้ว 137 เมกะวัตต์ เมื่อต้นปีที่ผ่านมาจากคู่ค้าของเขา บรูคฟิลด์ รีนูเวเบิล จากแคนาดา
สินทรัพย์ของบรูคฟิลด์เท่ากันกับกิจการพลังงานลมที่บริษัทเพิ่งซื้อไปเมื่อปี 2014 จาก Bord Gáis ที่ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น เออร์เวีย ภายใต้เงื่อนไขของโครงการช่วยเหลือทางการเงินระหว่างประเทศของไอร์แลนด์

นักลงทุน
กรีนโค้ท รีนูเวเบิล เกิดการลอยตัวในตลาดหุ้นไอริชหลังจากที่นักลงทุนได้ระดมทุนไปถึง 270 ล้านยูโร พร้อมทั้งมีแผนจะเข้าซื้อสินทรัพย์ไอริชเพิ่มเติม ในตลาดพลังงานลมที่แยกส่วนในสาธารณรัฐ
ไม่มีการตอบกลับจากออฟฟิศของคุณเมอร์เนน
อย่างไรก็ตาม ก็เป็นที่เข้าใจได้ว่าสมาคมที่อยู่เบื้องหลังการรวมบริษัทของอินวิสมีแผนจะลงทุนด้านพลังงานลมในไอร์แลนด์

สินทรัพย์
สินทรัพย์ในการทำธุรกรรมครั้งนี้ประกอบไปด้วย ไร่กังหันลมบนภูเขาสแตกส์ ในเคาน์ตี้ เคอร์รี่ โครงการชื่อ Leitir Gungaid ในเคาน์ตี้ กัลเวย์ และการพัฒนาที่น็อคดัฟฟ์ เคาน์ตี้ ค็อก
ข้อตกลงแสดงให้เห็นถึงการลงทุนกับพลังงานลมในยุโรปเป็นครั้งแรกของสมาชิกกลุ่มประเทศญี่ปุ่นทั้งสาม และตามที่ อินวิส กล่าว “เป็นก้าวแรกของการพัฒนาฐานพลังงานทดแทนในความร่วมมือกับคู่ค้าประสบความสำเร็จ”
การทำธุรกรรมดังกล่าวดำเนินการโดยบริษัทญี่ปุ่นที่ถือหุ้น 60% ในนามของ เอวาแลร์ จำกัด บริษัทไอริชที่จัดตั้งขึ้นเมื่อเร็วๆนี้ ซึ่งถูกตั้งขึ้นมาเพื่อนำไร่กังหันลมกำลังไฟฟ้า 223 เมกะวัตต์มาเก็บไว้ภายในบริษัท ตามคำแถลงของ มิต ซุบิชิ ยูเอฟเจ