วิธีการเรียนภาษาญี่ปุ่น

คนนิจิวะ (こんにちは)! ภาษาญี่ปุ่นเป็นภาษาที่ดีในการเริ่มเรียนรู้ ไม่ว่าคุณจะใช้มันในการทำธุรกิจ เสพสื่อมีเดียของญี่ปุ่นให้เข้าถึงอารมณ์มากขึ้น เช่นพวกการ์ตูนมังงะ หรือพูดคุยสนทนากับเพื่อนชาวญี่ปุ่นของคุณก็ตาม แต่ในขั้นแรกนั้น การเรียนภาษาญี่ปุ่นอาจทำให้คุณรู้สึกท้อกันบ้าง เพราะมันไม่มีความเกี่ยวเนื่องกัน หรือใช้มันเป็นแหล่งอ้างอิงกับภาษาอื่นเช่นภาษาอังกฤษเข้ามาช่วยได้เลย รูปแบบการเขียนและแนวทางก็ยังซับซ้อนเข้าไปอีก แต่เรื่องหลักไวยากรณ์ การออกเสียงและพวกบทสนทนาพื้นฐานจะตรงไปตรงมา ไม่ซับซ้อนอะไร เริ่มด้วยการรู้ประโยคที่จำเป็นๆก่อน แล้วค่อยเรียนลึกไปถึงเสียงในภาษาญี่ปุ่นและรูปแบบการเขียนกันก่อนดีกว่า

วิธีที่ 1 พื้นฐานของภาษา

เรียนรู้รูปแบบการเขียนภาษาญี่ปุ่น การเขียนภาษาญี่ปุ่นมีทั้งหมดสี่รูปแบบ แต่ละรูปแบบก็จะมีอักขระที่ต่างกันออกไป อาจดูเหมือนมากมาย แต่ทุกคำในภาษาญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็นการเขียนในรูปแบบใดก็ตาม จะมีการออกเสียงด้วยการรวมกันของเสียงพื้นฐานเพียง 46 เสียง การจัดรูปแบบการเขียนที่ต่างกันและวิธีใช้ที่ต่างกันของแต่ละรูปแบบให้ได้เป็นสิ่งสำคัญในการเรียนภาษาญี่ปุ่น อธิบายภาพรวมแบบรวบรัดได้ดังนี้
ฮิรางานะเป็นพยางค์ ตัวอักษรการออกเสียงในภาษาญี่ปุ่น ที่สร้างรูปแบบการเขียนในภาษาญี่ปุ่นขึ้นมาหนึ่งรูปแบบ อักขระแต่ละตัวจะมีพยางค์เป็นของตัวเอง อาจรวมถึงสระและเสียงพยัญชนะด้วย ซึ่งไม่เหมือนกับพยัญชนะในภาษาอังกฤษเลย
คาตาคานะก็เป็นอีกหนึ่งพยางค์ ส่วนมากใช้ทับศัพท์ภาษาต่างประเทศ หรือเสียงเลียนธรรมชาติ (เช่นเสียง ปัง! หรือเสียงกรีดร้อง) เมื่อรวมฮิรางานะเข้ากับคาตาคานะเข้าด้วยกันแล้ว มันจะกลายเป็นตัวกำหนดช่วงเสียงทั้งหมดในภาษาญี่ปุ่น
คันจิเป็นอักขระของจีนที่นำมาปรับให้เป็นรูปแบบการเขียนอีกอย่างหนึ่งในภาษาญี่ปุ่น ในขณะที่ฮิรางานะและคาตาคานะเป็นตัวอักษรที่มีการออกเสียงเพียงอย่างเดียว แต่คันจิไม่เป็นแบบนั้น มีตัวอักษรคันจิมากมาย เป็นพันๆตัว พร้อมด้วยการใช้งานที่แบบทั่วไปถึง 2,000 แบบ ฮิรางานะและคาตาคานะถือกำเนิดมาจากตัวคันจิพวกนี้แหละ เสียงทั้ง 46 เสียงที่เอามาออกเสียงตัวฮิรางานะและคาตาคานะก็เอามาออกเสียงคันจิด้วยเช่นกัน
ตัวพยัญชนะที่เอามาใช้เขียนชื่อย่อ ชื่อบริษัท หรือชื่อที่เกิดจากความสุนทรียะในการแต่งของผู้เขียนในญี่ปุ่นนั้น เรียกว่า โรมาจิ (“ตัวอักษรโรมัน”) ภาษาญี่ปุ่นสามารถใช้ตัวอักษรลาตินมาเขียนแทนได้ มันไม่ได้ใช้กันทั่วไปหรอก แต่เอามาใช้ในการฝึกผู้เริ่มเรียนภาษาญี่ปุ่น ให้ออกเสียงภาษาญี่ปุ่นได้ง่ายขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังมีตัวอักษารในภาษาญี่ปุ่นอีกเพียบที่ซับซ้อนเกินกว่าจะอธิบายในรูปของตัวอักษรลาตินได้ และรวมไปถึงคำพ้องรูปหรือพ้องเสียง (ที่มีมหาศาลกว่าภาษาอังกฤษ) ซึ่งอาจทำให้สับสนกันได้ ดังนั้น นักเรียนภาษาญี่ปุ่นจึงต้องได้รับการส่งเสริมการศึกษาตัวอักษรในญี่ปุ่นให้ได้ไวที่สุด และพยายามหลีกเลี่ยงการใช้ตัวอักษรลาตินเป็นไม้ช่วยพยุง

ฝึกฝนการอ่านออกเสียงภาษาญี่ปุ่น ใน 46 เสียงของภาษาญี่ปุ่นจะประกอบด้วยสระห้าเสียง หรือการผสมกันของสระและพยัญชนะ เสียงสระจะไม่มีการผันแปรอย่างใด คุณสามารถเริ่มฝึกออกเสียงโดยศึกษาวิธีการออกเสียงตัวอักษรแต่ละตัวของฮิรางานะและคาตาคานะก่อน ดูตัวอย่างนี้
เน้นโทนเสียงให้ต่างกัน ความหมายของคำที่คุณพูดจะเปลี่ยนไปตามเสียงที่คุณเปล่งออกมา คำที่มีออกเสียงพยางค์ยาวอาจมีความหมายที่แตกต่างไปจากของเดิมที่ออกเสียงสั้น (“อุ กับ อู” เป็นต้น)

เรียนรู้ความหลากหลายของเสียงพื้นฐาน ตัวกอักษรในภาษาญี่ปุ่นอาจเพิ่มเครื่องหมายลงไปเพื่อบ่งบอกถึงวิธีการออกเสียงที่แตกต่างเล็กน้อย บางครั้งอาจเปลี่ยนความหมายของคำที่เขียนขึ้น คล้ายกันกับเสียง “S” ที่บางครั้งก็ได้ยินเป็นเสียง “Z” ในภาษาอังกฤษ
พยัญชนะเสียงหนักออกเสียงด้วยการหยุดอย่างหนักระหว่างเสียงสองเสียง
สระเสียงยาว จะแตกต่างจากสระเสียงสั้น ซึ่งแสดงถึงคำที่ต่างออกไป ออกเสียงโดยการยึดเสียงเพื่อเพิ่มจังหวะ

ทำความคุ้นเคยกับหลักไวยากรณ์ญี่ปุ่น การที่เรารู้พื้นฐานไวยากรณ์จะช่วยให้เราเข้าใจภาษาญี่ปุ่นและเริ่มเขียนประโยคญี่ปุ่นได้คล่องขึ้น ไวยากรณ์ญี่ปุ่นง่ายและยืดหยุ่น เลยสามารถนำคำมาต่อกันเพื่อให้เกิดความเข้าใจได้ง่ายกว่า
หัวเรื่องสามารถละเว้นหรือไม่มีก็ได้
คำกริยาจะอยู่ท้ายประโยคเสมอ
คำนามไม่มีเพศระบุ และส่วนใหญ่ไม่มีการเปลี่ยนรูปเมื่ออยู่ในรูปพหูพจน์
คำกริยาไม่เปลี่ยนรูปตามประธานเอกพจน์ (เขา/เธอ/มัน) และก็ไม่เปลี่ยนตามประธานที่เป็นพหูพจน์ด้วย (ประธานที่เป็นพหูพจน์ เช่น ฉัน/พวกเรา/พวกเขา)
อนุภาค ที่กำหนดประเภทคำว่าเป็นประธาน กรรม ฯลฯ จะตามด้วยคำที่เกี่ยวเนื่องกันเสมอ
สรรพนามที่เป็นบุคคล (ฉัน,คุณ,ฯลฯ) จะแตกต่างกันไปตามระดับความสำคัญและความเป็นทางการในแต่ละสถานการณ์

วิธีที่ 2 ข้อแนะนำ

หาเทปฟังเพื่อฝึกฝน หลังจากเรียนรู้พื้ฐานแล้ว ก็ได้เวลาของบทเรียนนอกห้องเรียนเพื่อเพิ่มพูนทักษะของคุณให้มากขึ้น ถ้าคุณเรียนภาษาญี่ปุ่นเอาสนุกๆ เพราะว่าคุณชื่นชอบวัฒนธรรมของญี่ปุ่นเช่น การ์ตูนมังงะและอนิเมะ หรือเพื่อใช้ตอนไปเที่ยวที่ญี่ปุ่น ซีดีใช้ฟังเพื่อการเรียนรู้ก็อาจเพียงพอสำหรับคุณแล้ว เพียงแค่นั่งฟังสักชั่วโมงต่อวัน คุณก็จะเข้าใจการสร้างไวยากรณ์ง่ายๆและคลังคำศัพท์ที่จำเป็นแล้ว
ควรฟังไประหว่างที่คุณทำกิจกรรมต่างๆ เช่นช่วงรับประทานอาหารเช้า กลางวัน หรือช่วงเดินเล่นในสวนสาธารณะก็ดี
ไม่จำเป็นต้องเรียนทักษะการอ่านและการเขียนเพื่อให้สนุกกับภาษาและวัฒนธรรมญี่ปุ่นเสมอไป ดังนั้นถ้าคุณมีแผนจะไปเที่ยวทริปสั้นๆที่ญี่ปุ่น การรู้ประโยคพื้นฐานสักสี่ห้าประโยค อาจช่วยให้คุณเข้าใจได้ง่ายกว่าการนั่งงมกับอักษรญี่ปุ่นจนปวดหัว

ลงเรียนวิชาภาษาญี่ปุ่น ถ้าคุณเรียนเพื่อเอาไปประกอบธุรกิจหรืออาศัยอยู่ที่ญี่ปุ่นเลย คุณควรจะลงเรียนภาษาญี่ปุ่นในระดับมหาวิทยาลัย และหลักสูตรเข้มข้นด้วยก็ดี หรือหลักสูตรออนไลน์ก็เข้าท่า การเรียนอ่านและเขียนภาษาญี่ปุ่นจะมีส่วนสำคัญต่อความสำเร็จในระยะยาวของคุณ และการที่มีครูสอนในช่วงเริ่มเรียนของคุณจะช่วยสร้างความคิด พัฒนาพฤติกรรมการเรียนให้ดีขึ้นแก่ตัวคุณ และอย่าลืมว่า ถ้าสงสัยอะไร ถามครูให้หมดจะเป็นการดียิ่ง
การเรียนเรื่องรูปแบบการเขียนนั้น ถ้าหากคุณคิดว่าการเขียนได้ เขียนเป็น เป็นเป้าหมายสำคัญของคุณในการเรียนภาษานี้ ก็ให้คุณเริ่มเรียนการเขียนทั้งสี่รูปแบบของภาษาญี่ปุ่นให้ครบหมด ฮิรางานะและคาตาคานะสามารถเรียนรู้ และเข้าใจได้ในเวลาไม่กี่สัปดาห์ และคุณยังมันใช้เขียนอะไรก็ได้ที่คุณอยากเขียนเป็นภาษาญี่ปุ่นได้เลย ตัวอักษรคันจิที่ภาษาญี่ปุ่นใช้กันมีอยู่ประมาณ 2,000 ตัวอักษร ฉะนั้น มันต้องเวลาหลายปีในการเรียนรู้ แต่มันก็คุ้มอยู่นะถ้าคุณอยากจะเข้าใจภาษาญี่ปุ่นให้ถ่องแท้ทั้งหมดน่ะ
ใช้การ์ดรวมคำศัพท์ และการ์ดรวมประโยคง่ายๆ ประโยชน์ของกระดาษนี้คือ มันใช้ได้ทุกที่ ใช้ได้ระหว่างรอประชุมบริษัท ระหว่างรอรถไฟ อื่นๆอีกมากมาย คุณสามารถหาการ์ดคำศัพท์ได้ง่ายๆตามเวบไซต์ต่างๆ ฟรี หรือคุณสามารถหาซื้อในแบบที่ดีๆหน่อยตามศูนย์หนังสือมหาวิทยาลัย หรือตามร้านค้าออนไลน์
หากต้องการฝึกคันจิ ให้มองหาการ์ดที่มีคำอธิบาย (วิธีการเขียนตัวอักษร) ที่แสดงตัวอักษรในด้านหนึ่ง อีกด้านหนึ่งแสดงตัวอย่างประโยคให้ดูจะดีที่สุด คุณสามารถทำขึ้นเองได้เพื่อตอบสนองความต้องการของคุณได้อย่างถูกจุด
มีส่วนร่วมกับชั้นเรียน และกิจกรรมในชั้นเรียน ทำการบ้านที่ได้รับมอบหมายให้ครบ ยกมือบ่อยๆ และเอาตัวเข้าไปเกี่ยวข้องกับภาษาญี่ปุ่นให้ได้มากที่สุดเท่าที่ทำได้เพื่อเก็บเกี่ยวความรู้ให้ได้มากที่สุด ไม่งั้นแล้ว คุณจะไม่ก้าวหน้าทางภาษาญี่ปุ่นเลย

วิธีที่ 3 จมอยู่กับภาษาญี่ปุ่น

เข้าร่วมกลุ่มสนทนาภาษาญี่ปุ่น กลุ่มสนทนาเป็นกลุ่มที่สามารถหาได้ค่อนข้างง่ายทางอินเทอร์เน็ตหรือตามห้องสมุด ฝึกฝนหูของคุณให้เก็บสิ่งที่พวกเขาพูดมาให้หมด แม้ว่าคุณจะไม่เข้าใจสิ่งที่พวกเขาพูดเลยก็ตาม พยายามพูดตามพวกเขาเท่าที่เราฟังจับใจความมาได้และนำไปพัฒนาทักษะของตนเอง

หาเพื่อนชาวญี่ปุ่นที่คุณจะสามารถฝึกภาษากับเขาบ่อยๆได้ มีชาวญี่ปุ่นหลายคนที่อยากเรียนภาษาอังกฤษ ดังนั้นคุณอาจหาเพื่อนสักคนที่สามารถช่วยคุณฝึกภาษาญี่ปุ่น แลกกันกับที่คุณช่วยฝึกภาษาอังกฤษให้เขา การหาเพื่อนไว้ช่วยเหลือซึ่งกันและกันง่ายๆเช่นนี้จะทำให้ทักษะของคุณก้าวกระโดดอย่างไม่รู้ตัว
หากิจกรรมทำร่วมกันที่ช่วยฝึกภาษาที่ไม่ใช่ การเรียนการสอน กับเพื่อนของคุณ ถ้าเพื่อนชาวญี่ปุ่นของคุณอาศัยอยู่ที่ประเทศของคุณเป็นเวลาสั้นๆ พาเขาไปชมรอบๆเมืองก็ดี ไปเที่ยวชมวิว เปิดหูเปิดตา อย่างลืมว่า คุณต้องเป็นตัวของตัวเอง ปลดปล่อยตัวเองบ้าง ไม่งั้นคุณจะรู้สึกเครียดกับตัวคันจิที่คุณต้องจำเกินไป สนุกกับมันเป็นทางออกที่ดีที่สุดที่จะประสบความสำเร็จ
วันไหนที่คุณว่าง ไม่ได้ออกไปไหน ให้คุณโทรศัพท์หาเพื่อนคุณทุกวัน สักครึ่งชั่วโมงกำลังดี โดยที่คุณต้องพูดแค่ภาษาญี่ปุ่นเท่านั้น ฝึกฝนมากเท่าไร ทักษะคุณก็จะชำนาญมากขึ้นเท่านั้น

บริโภคสื่อมิเดียของประเทศญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์ นวนิยาย หรือรายการโทรทัศน์ อ่านหรือดูสื่อที่เป็นภาษาญี่ปุ่นทุกวัน ตอนนี้มีรายการโทรทัศน์ของญี่ปุ่นให้ดูหลายรายการเลยบนอินเทอร์เน็ต ไล่ตั้งแต่ตลกขบขัน เกมโชว์จนถึงละคร หาสิ่งที่คุณชื่นชอบ สนใจและเรียนรู้มันจะทำให้ง่ายต่อการเรียนภาษาญี่ปุ่นมากขึ้น หนังสือพิมพ์ญี่ปุ่นจะมีคำศัพท์ หลักไวยากรณ์ที่เป็นประโยชน์แก่คุณมากมายให้เก็บเกี่ยว พอคุณเริ่มเก่งขึ้น ลองอ่านนวนิยายดู นี่จะช่วยให้คุณพบกับแนวการเขียนที่แปลกขึ้น
หนังสือการ์ตูน (มังงะ) เป็นวัตถุดิบที่ดีในการฝึกการอ่าน แต่ระดับความซับซ้อนของคำก็มหาศาลด้วยเช่นกัน หนังสือการ์ตูนผู้ใหญ่ก็เป็นแนวทางการฝึกที่ดีเช่นกัน (โดยเฉพาะตรงที่มันมีภาพให้เราเข้าใจว่า เรื่องที่อ่านเกี่ยวกับอะไรได้) บางเรื่องก็อาจจะเขียนมาสำหรับเด็กซึ่งจะเต็มไปด้วยเสียงเอฟเฟ็กต์ และศัพท์สแลงเพียบ ระวังตอนที่คุณพูดทวนออกมาเป็นภาษาญี่ปุ่นด้วยนะ

เรียนต่อที่ประเทศญี่ปุ่น นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะฝึกภาษาของคุณ และประยุกต์ใช้ในสิ่งที่คุณร่ำเรียนมา มันจะเป็นประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้น และคาดเดาไม่ได้เมื่อเราต้องกลมกลืนไปกับวัฒนธรรมของต่างแดน แม้จะเป็นระยะเวลาสั้นๆก็ตาม และแม้ว่าคุณจะทำการหาข้อมูลมาอย่างแน่นปึ้ก พอไปสถานที่จริง คุณอาจพบเจอกับประสบการณ์ที่คุณไม่อาจจินตนาการถึงก็เป็นได้
ถ้าคุณสมัครเข้าเรียนโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยแล้ว ถามหาโครงการเรียนต่อที่ประเทศญี่ปุ่นด้วยก็ดี เพราะนี่เป็นทางที่ดีที่สุดในการศึกษาภาษาญี่ปุ่นในระยะยาว และคุณอาจได้รับทุนช่วยเหลืออีกด้วย
อย่าเพิ่งท้อแท้ถ้าหากคุณไม่เข้าใจที่คนอื่นพูด หรืออ่านอะไรไม่ออก เขียนอะไรไม่ได้ดังใจคุณเลย มันต้องใช้เวลาเป็นปีกว่าคุณจะอ่านออกเขียนได้ ความซับซ้อนและความแตกต่างของภาษาญี่ปุ่นอาจเป็นเรื่องที่ยากในการเข้าใจมันอย่างถ่องแท้ แต่มันก็เป็นสิ่งที่สวยงามอีกเช่นกัน